• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  23 กุมภาพันธ์ 2566

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เฝ้าระวังฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ในภาคใต้ ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงซ่อมแซมฝายและขุดลอกลำน้ำแก้ปัญหาตื้นเขิน เพื่อรับมือช่วงหน้าแล้งนี้

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวถึงสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศวันนี้ (23 ก.พ.66) ว่า ภาพรวมภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันออกพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยตอนล่างเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย โดยเฉพาะมีฝนตกปานกลางบริเวณ จ.แม่ฮ่องสอน , พระนครศรีอยุธยา และพังงา ทั้งนี้ กรมเจ้าท่า ได้เร่งขุดลอกแม่น้ำคำ ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย คาดว่า จะช่วยเพิ่มรองรับน้ำในหน้าน้ำหลาก การอุปโภค-บริโภค และการเกษตร รวมทั้ง ช่วยลดปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตร การกัดเซาะตลิ่ง โดยมีประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการขุดลอกประมาณ 500 ครัวเรือน และมีพื้นที่ทางการเกษตร ประมาณ 20,800 ไร่

ขณะที่ กรมชลประทาน เร่งหาแนวทางซ่อมแซมฝายยางท่าลาด จังหวัดฉะเชิงเทรา หลังตรวจสอบสภาพฝายยางเพื่อเตรียมพร้อมส่งน้ำช่วงหน้าแล้งนี้ หลังพบรอยฉีกขาดบริเวณรอยต่อที่ยึดติดกับฐานคอนกรีตด้านล่างที่ไม่สามารถช่อมแซมได้ จึงแก้ปัญหาเร่งด่วนด้วยการขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี 2566 เพิ่มเติมจัดซื้อวัสดุจัดทำทำนบชั่วคราว (กระสอบทราย Big Bag) ปัจจุบันยังคงเสริมทำนบชั่วคราวเป็นระยะตามสภาพการชำรุดที่เกิดจากกระแสน้ำที่ไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวระหว่างรอการจัดสรรงบประมาณ เพื่อปรับเปลี่ยนฝายยางเป็นการถาวรที่มีความมั่นคงแข็งแรงมากขึ้นและรื้อเปลี่ยนฝายยางเดิม พร้อมซ่อมบำรุงระบบสูบน้ำของฝายยางเป็นการถาวรให้บริหารจัดการน้ำอย่างครอบคลุมในพื้นที่ของโครงการชลประทานฉะเชิงเทรา จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่อย่างมาก


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  22 กุมภาพันธ์ 2566

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ผลักดันใช้เทคโนโลยีอวกาศจัดทำบัญชีคาร์บอนให้กับประเทศไทย เพื่อลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกและช่วยประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าได้อย่างถูกต้อง

นายปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ในฐานะประธานคณะกรรมการดาวเทียมสำรวจโลก (CEOS) กล่าวว่า สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ร่วมกับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. , หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม , หน่วยงานต่างประเทศ Silva Carbon และคณะกรรมการดาวเทียมสำรวจโลก หรือ CEOS ได้จัดงานสัมมนา “Carbon Accounting :Observation from Space รู้เท่าทันเทคโนโลยีกับการใช้ดาวเทียมวัดค่าคาร์บอนเครดิต” เพื่อสร้างการรับรู้การใช้เทคโนโลยีอวกาศจัดทำบัญชีคาร์บอนให้กับประเทศไทยลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญและใช้เทคโนโลยีจากดาวเทียมสำรวจการกักเก็บคาร์บอนมานานแล้ว และปรับปรุงพัฒนาเทคนิคใหม่ๆให้มีมาตรฐานสากลต่อเนื่อง ทำให้การจัดทำบัญชีคาร์บอนให้กับประเทศไทยถือเป็นความท้าทายในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ เพื่อการเฝ้าระวังและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้โลก จะส่งผลต่อการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและระบบเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ทั้งนี้ จากการประชุม CEOS Plenary 2022 ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของคณะกรรมการดาวเทียมสำรวจโลก หรือ CEOS ที่มีหน่วยงานด้านอวกาศระดับโลกเข้าร่วมประชุม ที่ สาธารณรัฐฝรั่งเศสเมื่อปลายปีที่ผ่านมานั้น GISTDA ในฐานะประธานคณะกรรมการดาวเทียมสำรวจโลกปี 2023 หรือ CEOS Chair 2023 ได้ผลักดันประเด็นการลดการปลดปล่อยคาร์บอน เพื่อลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยนำข้อมูลจากดาวเทียมและเทคนิคที่เกี่ยวข้องมาใช้เป็นเครื่องมือสำรวจและตรวจวัดการกักเก็บคาร์บอน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และแก้ปัญหานำไปสู่การบรรเทาปัญหาโลกร้อนสอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC)

ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวย้ำว่า จำเป็นต้องให้ความรู้เกี่ยวกับความก้าวหน้าการใช้เทคโนโลยีจากดาวเทียม เพื่อการสำรวจการกักเก็บปริมาณคาร์บอนในพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตร และพื้นที่อื่นๆ แสดงให้เห็นวิธีการที่เป็นมาตรฐานในการกักเก็บคาร์บอนและแสดงความพร้อมของไทยที่จะใช้เทคโนโลยีอวกาศจัดการคาร์บอนเครดิตนำไปสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ชุมชนและประเทศ เนื่องจากความเป็นจริงการสำรวจพื้นที่ภาคสนามไม่สามารถใช้แรงงานคนวัดต้นไม้ได้ทุกต้น ดังนั้น การนำเทคโนโลยีจากดาวเทียมและข้อมูลภูมิสารสนเทศเข้ามาสนับสนุน จะทำให้สามารถจำแนกประเภทป่าไม้และประเมินความหนาแน่นชั้นเรือนยอดต้นไม้จากแบบจำลองเชิงพื้นที่ เพื่อประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าได้อย่างถูกต้องเพียงพอกับการใช้งาน ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ช่วยประหยัดเวลา และแรงงานคนที่ต้องใช้สำรวจภาคสนามและลดความผิดพลาดจากการสำรวจด้วย โดยข้อมูลที่ได้จากการสำรวจและวิเคราะห์นี้จะถูกรวบรวมนำไปสู่การจัดทำ “บัญชีคาร์บอนให้กับประเทศไทย” เพื่อใช้เป็นแนวทางให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศต่อไป


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  21 กุมภาพันธ์ 2566

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน ร่วมประชุมการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านการชลประทานและการระบายน้ำ ญี่ปุ่น-ไทย ครั้งที่ 5 โดยมี นายชินจิ อาเบะ (Mr.Shinji ABE) รองอธิบดีกรมพัฒนาชนบท กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงญี่ปุ่น และนายฮิโรมิจิ คิตาดะ (Mr.Hiromichi KITADA) ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือต่างประเทศเพื่อการปรับปรุงที่ดิน ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเด็นความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อตอบสนองต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความปลอดภัยของเขื่อน และอ่างเก็บน้ำใต้ดิน (Underground reservoir) ที่กรมพัฒนาชนบท กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงญี่ปุ่น กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยที่ผ่านมา กรมชลประทาน และกรมพัฒนาชนบท ประเทศญี่ปุ่น ได้ลงนามร่วมกันในบันทึกการหารือว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านการชลประทานและการระบายน้ำเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2559 และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายได้จัดการประชุมการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านการชลประทานและการระบายน้ำอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อผลักดันและขับเคลื่อนการดำเนินงานความร่วมมือระหว่างกัน


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  20 กุมภาพันธ์ 2566

กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ร่วมกันเร่งหาองค์ประกอบทางเคมีของ PM 2.5 ในการจำแนกแหล่งกำเนิดหลักในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาฝุ่น หลังพบสูงขึ้นบ่อยครั้ง

นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ทำโครงการ “องค์ประกอบทางเคมีของฝุ่นละออง PM 2.5 ในการจำแนกแหล่งกำเนิดหลักในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองหนองคาย” ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบหลักทางเคมีของฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่เทศบาลเมืองหนองคาย // เพื่อประเมินสัดส่วนของแหล่งกำเนิดหลักของฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่เทศบาลเมืองหนองคาย และสุดท้าย เพื่อค้นหาปัจจัยที่มีผลต่อการสะสมฝุ่นละออง PM 2.5ในพื้นที่เทศบาลเมืองหนองคาย ขณะเดียวกันได้ศึกษาการวิเคราะห์ลักษณะขององค์ประกอบทางเคมีและหาสัดส่วนของแหล่งกำเนิดหลักของ PM 2.5 ร่วมกับข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยา , ข้อมูลการเคลื่อนที่ของกระแสอากาศ (Back Trajectory) , การใช้ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงจุดเผาไหม้ในพื้นที่ใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบ้าน และการใช้แบบจำลอง (PMF) มาช่วยวิเคราะห์ ซึ่งผลจากการศึกษาได้ข้อมูลสำคัญที่บ่งชี้ถึงองค์ประกอบทางเคมี สัดส่วนของแหล่งกำเนิดสำคัญ และปัจจัยที่มีผลต่อการสะสมของ PM 2.5 ในพื้นที่เทศบาลเมืองหนองคายได้ รวมทั้ง ยังได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะผลการศึกษาระหว่างหน่วยงานต่างๆนำไปสู่การแก้ปัญหา PM 2.5 ในเทศบาลเมืองหนองคาย พร้อมขยายผลสู่จังหวัดต่างๆในภูมิภาคที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันต่อไป

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวย้ำว่า พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ค่อนข้างได้รับผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) พบฝุ่น PM 2.5 สะสมสูงในบางช่วงของปี ซึ่งเทศบาลเมืองหนองคายเป็นเมืองขนาดกลางตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงจากลักษณะดังกล่าวไม่ควรมีการสะสมของ PM 2.5 สูงบ่อยครั้ง แต่ที่ผ่านมากลับพบมีปริมาณ PM 2.5 สูงบ่อยครั้งและบางครั้งสูงกว่าเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียง จึงจำเป็นต้องหาสาเหตุและเร่งแก้ปัญหา


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  19 กุมภาพันธ์ 2566

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เฝ้าระวังฝนฟ้าคะนองในภาคใต้ พร้อมระวังระดับน้ำทะเลหนุนสูงในพื้นที่ลุ่มต่ำริมปากแม่น้ำช่วงวันที่ 19 - 22 กุมภาพันธ์

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวถึงสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศวันนี้ (19 ก.พ.66) ว่า ภาพรวมภาคใต้มีฝนฟ้าคะนอง เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันเริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองอยู่ในระยะนี้ โดยเฉพาะมีฝนตกปานกลางถึงหนักบริเวณ จ.พัทลุง , สุราษฎร์ธานี และ กระบี่ ทั้งนี้ ยังต้องเฝ้าระวังระดับน้ำทะเลหนุนสูงในพื้นที่ลุ่มต่ำริมปากแม่น้ำ หลังกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) คาดการณ์น้ำทะเลหนุนสูงช่วงวันที่ 19 – 22 กุมภาพันธ์ โดยระดับน้ำทะเลหนุนจะขึ้นสูงสุดวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดน้ำเค็มรุกตัวเข้าสู่บริเวณปากแม่น้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำริมชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำใช้อุปโภค-บริโภค และการใช้น้ำเพื่อการเกษตร


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  18 กุมภาพันธ์ 2566

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 ว่า ช่วงวันที่ 19-20 กุมภาพันธ์นี้ จะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากค่าฝุ่นจะสูงขึ้น เป็นช่วงที่ลมทางทิศตะวันออกปะทะกับลมทางทิศใต้ โดยช่วง 10 วันที่ผ่านมามีอากาศที่ดี และขณะนี้จากการติดตามค่าฝุ่นยังไม่สูงมาก เนื่องจากมีฝนตก และวันนี้ได้มอบอุปกรณ์กรองอากาศให้กับศูนย์เด็กเล็กสังกัดกรุงเทพมหานคร ทั้งหมด 270 แห่ง เชื่อว่าจากการดูพยากรณ์สถานการณ์ยังไม่รุงเเรง จะบรรเทาลงช่วง 2-3 วันข้างหน้า

ทั้งนี้ เขตลาดกระบังจะพบปัญหาเรื่องการเผาถ่านในบางพื้นที่จึงสั่งการให้สำนักงานเขตลงพื้นที่ชี้จุด โดยนำกฎหมายเข้าไปบังคับอย่างเข้มงวด รวมถึงปัญหาการจราจร โดยจะประสานงานให้ดีขึ้น ซึ่งมีโครงการที่ปรับปรุงทางข้ามอยู่แล้วกว่า 50 แห่ง จะเร่งปรับรปรุงทางข้ามม้าลายมีความปลอดภัยแก่ประชาชนมากยิ่งขึ้น


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  17 กุมภาพันธ์ 2566

นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม รองอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร รักษาราชการแทนอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่า ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือได้ทำการส่งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วให้นำเฮลิคอปเตอร์ตักน้ำดับไฟป่า เนื่องจากค่าคุณภาพอากาศของประเทศไทยโดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ภาคเหนือ มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน จากการเกิดไฟป่าในพื้นที่ และเนื่องจากปัญหาไฟป่าเกิดขึ้นมาเป็นเวลานานหลายวัน ทำให้มีการสะสมของฝุ่นละอองเพิ่มมากขึ้นประกอบกับข้อมูลสถานการณ์ค่าคุณภาพอากาศจากกรมควบคุมมลพิษ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 พบว่า มีสารมลพิษทางอากาศที่ตรวจพบเกินมาตรฐาน ได้แก่ ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 ตรวจพบค่าระหว่าง 19-165 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินมาตรฐาน ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน หรือ PM10 ตรวจพบค่าระหว่าง 18-191 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินมาตรฐาน ซึ่งอยู่ในระดับเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพ (สีส้ม) ถึงระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ (สีแดง) โดยส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือเป็นวงกว้างจากสถานการณ์ดังกล่าว

กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้มีการประสานงานและวางแผนร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็ว จังหวัดเชียงใหม่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและหน่วยที่เกี่ยวข้อง ขึ้นบินสำรวจจุดความร้อน เพื่อวางแผนการบิน และหาแหล่งน้ำที่ใกล้กับบริเวณที่เกิดไฟป่า เพื่อรักษาปริมาณน้ำในถังให้ได้มากที่สุด โดยหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็ว จังหวัดเชียงใหม่ ใช้เฮลิคอปเตอร์จำนวน 1 ลำ ปฏิบัติภารกิจดับไฟป่าบริเวณพื้นที่อำเภอฮอด และอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 9–11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ใช้แหล่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำศาลาฮ่อและอ่างเก็บน้ำบ้านโป่ง มีผลการปฏิบัติภารกิจจำนวน 3 วัน รวมจำนวน 37 เที่ยวบิน ใช้ปริมาณน้ำ รวมทั้งสิ้น 22,200 ลิตร


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  16 กุมภาพันธ์ 2566

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกาศปิดอุทยานแห่งชาติที่มีจุดความร้อนสูงสุดและเสี่ยงเกิดไฟป่ารุนแรง 8 แห่งในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ หลังพบปัจจัยเสี่ยงเกิดจากสภาพอากาศในประเทศและการสะสมของเชื้อเพลิงในช่วงหลายปี

นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ในฐานะประธานศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) กล่าวถึงแนวทางการยกระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควันและฝุ่น PM2.5 พื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหมอกควัน หรือฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เกิดขึ้นรุนแรงจนมีกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเกิดจากสภาพอากาศและจุดความร้อน (Hotspot) ภายในประเทศไม่ได้เกิดจากผลกระทบจากจุดความร้อนสะสมที่เกิดจากการเผาของประเทศในอนุภูมิภาคแม่โขง แม้ช่วงวันที่ 1 มกราคม ถึง 14 กุมภาพันธ์จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 55 โดยเฉพาะในเมียนมารเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 147 แต่ภาคเหนือของไทยเป็นปัจจัยมาจากสภาพอากาศภายในประเทศ ส่วนผลกระทบจากจุดความร้อนของประเทศเพื่อนบ้านต่อไทยมีไม่เกินร้อยละ 5 ของปริมาณฝุ่นที่เกิดขึ้น ทำให้ไทยจำเป็นต้องออกมาตรการภายในประเทศที่ชัดเจนมาควบคุม ด้วยการให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชประกาศปิดพื้นที่ป่าอนุรักษ์หรืออุทยานแห่งชาติที่มีจุดความร้อนสูงสุดและเสี่ยงเกิดไฟป่ารุนแรง 8 แห่งในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ยกเว้นส่วนที่ให้บริการการท่องเที่ยวที่มีความปลอดภัย เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าพื้นที่ควบคุมจุดความร้อนได้คล่องตัวมากขึ้นและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำปาย // อุทยานแห่งชาติผาแดง // อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท // อุทยานแห่งชาติออบหลวง // เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย // อุทยานแห่งชาติแม่ปิง // อุทยานแห่งชาติศรีน่าน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น มีผลตั้งแต่วันนี้ (16 ก.พ.66) เป็นต้นไป ส่วนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติกรมป่าไม้อยู่ระหว่างวิเคราะห์จุดที่มีความเสี่ยงสูงเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดขอเข้าควบคุมเส้นทางในพื้นที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อควบคุมการเกิดจุดความร้อนและปฏิบัติการดับไฟป่าได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากคาดการณ์การเติบโตของระบบเศรษฐกิจและการสะสมของเชื้อเพลิงช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา พบมีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 17 จังหวัดภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ไฟไหม้ซ้ำซากพบเกิดในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ 7 แห่ง // เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 6 แห่ง และวนอุทยานแห่งชาติ 2 แห่ง

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวย้ำว่า ปัญหาฝุ่นละอองและหมอกควันพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือเกิดจากจุดความร้อนดูจากตัวเลขเมื่อวันที่16 กุมภาพันธ์ สูงถึง 793 จุด หรือร้อยละ 93.82 ส่วนใหญ่เกิดในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ หรือพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์ในเขตป่า โดยช่วงวันที่ 1 มกราคมถึงปัจจุบันพบสูงถึง 19,781 จุด ทั้งนี้ จากการสำรวจพบช่วงวันที่ 1 มกราคม ถึง 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาสถานการณ์ PM 2.5 และจุดความร้อนในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือมีแนวโน้มรุนแรงกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเติบโตของระบบเศรษฐกิจ สถานการณ์ของอุตุนิยมวิทยา สภาพดินฟ้าอากาศที่จะมีอากาศปิด มีอากาศเย็น และแห้งมากขึ้น ดูจากค่าเฉลี่ยปีนี้ PM 2.5 ช่วง 24 ชั่วโมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 67 // จำนวนวันที่เกินมาตรฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 72 และจำนวน Hotspot ใน 17 จังหวัดเพิ่มขึ้นร้อยละ 118 ภาพรวมคาดการณ์ฝุ่น PM 2.5 ช่วงเดือนกุมภาพันธ์มีแนวโน้มรุนแรงไปจนถึงสิ้นเดือน สำหรับจุดความร้อนสะสมระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 14 กุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 118 ส่วนใหญ่เกือบร้อยละ 70 เกิดในพื้นที่ป่า แบ่งเป็น ป่าอนุรักษ์ร้อยล 50 และป่าสงวนแห่งชาติร้อยละ 50


  1. สคทช. เตรียมเปิดเวที “สานพลังยกระดับการขับเคลื่อนการบริหารจัดการที่ดิน” หวังสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินไปในทิศทางเดียวกัน
  2. ค่าฝุ่น PM 2.5 กทม.และปริมณฑลคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ดีมากต่อเนื่อง ส่วนภาคเหนือและภาคอีสานยังสูงในระดับสีส้มและสีแดงบางพื้นที่
  3. กระทรวงเกษตรฯ สนับสนุนหมอดินอาสา เพื่อเสริมแกร่งด้วยนโยบายตลาดนำการผลิต เป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่การเกษตรทั่วไทย
  4. ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ลงพื้นที่ติดตาม กำชับ รับฟังการทำงานการแก้ไขสถานการณ์ไฟป่าฯ อำเภอแจ้ห่ม หลังพบจุดความร้อนเกิดขึ้น 200 จุด
© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.