• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  3 มีนาคม 2566

ประเทศไทย ประสบความสำเร็จเป็นประเทศแนวหน้าในระดับภูมิภาคอาเซียนแก้ปัญหาสัตว์และพืชป่า หลังบังคับใช้พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 อย่างจริงจังดูแลสัตว์ป่าที่อยู่ในบัญชีไซเตส 67 รายการ โดยเปิดให้ประชาชนที่ครอบครองลงทะเบียนแจ้งรายละเอียดได้ถึงวันที่ 17 กันยายนนี้

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทน อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า ปีนี้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชได้จัดงานวันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก (World Wildlife Day) ประจำปี 2566 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ตรงกับวันที่ 3 มีนาคมของทุกปี โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนและประชาชนเข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของสัตว์ป่าและพืชป่า เพื่อให้เกิดแรงกระตุ้นและสร้างจิตสำนึกร่วมกันอนุรักษ์ ที่ผ่านมาประเทศไทยได้แสดงออกอย่างชัดเจนในการแก้ปัญหาเรื่องของสัตว์ป่าทั้งประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ได้มีผลบังคับใช้แล้ว มีชนิดสัตว์ป่าที่อยู่ในบัญชีไซเตส 67 รายการ ส่วนใหญ่อยู่ในบัญชีลำดับที่ 1 เป็นชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ห้ามค้าโดยเด็ดขาด ยกเว้นเพื่อการศึกษา วิจัย หรือเพาะพันธุ์ เกือบ 60 รายการ เริ่มให้แจ้งการครอบครองสำหรับสัตว์ประเภทดุร้ายก่อนใน 12 ชนิดที่ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วจะเปิดให้ประชาชนที่ครอบครองสัตว์ป่าหายากหรือสัตว์แปลก (Exotic) ที่มาจากต่างประเทศแจ้งการครอบครองได้จนถึงวันที่ 17 กันยายนนี้ จากนั้นจะเข้าตรวจสอบเพิ่มเติมมีการครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ หากมีไว้ครอบครองถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายและต้องถูกดำเนินคดีอย่างเข้มงวด โดยประชาชนสามารถเข้าแจ้งการครอบครองสัตว์ป่าได้ที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช หรือติดต่อผ่านสายด่วน 1362 แจ้งรายละเอียดการครอบครองสัตว์ป่าหรือพืชป่าให้เป็นไปตามกฎหมาย

อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวย้ำว่า ไทย ยังได้บริหารจัดการสัตว์ต่างประเทศเพื่อนำไปสู่การค้าที่ถูกกฎหมาย การนำเข้า การครอบครอง เพาะเลี้ยง และเคลื่อนย้ายถูกกฎหมาย ภาพรวม 40 ปีที่ผ่านมาไทยได้เข้าร่วมอนุสัญญาไซเตสมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะช่วง 10 ปีหลังไทยได้พัฒนากฎหมายให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ที่เพิ่มข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดตั้งด่านตรวจสัตว์ป่าเพื่อกำกับดูแลการนำเข้าส่งออกสัตว์ป่า และ พ.ศ. 2558 ได้ปรับปรุงกฎหมายนี้เพื่อรองรับการบรรจุช้างแอฟริกา ซึ่งเป็นสัตว์ป่าต่างประเทศชนิดแรกที่กำหนดให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง และการออกกฎหมายใหม่ คือ พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ.2558 เพื่อแก้ปัญหางาช้างผิดกฎหมายที่เกี่ยวโยงกับการค้าระหว่างประเทศ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ฉบับที่มีผลบังคับในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลสัตว์ในบัญชีไซเตสภายในประเทศให้ดีขึ้น ถือว่าไทยประสบความสำเร็จอย่างมาก แล้วยังเป็นประเทศระดับแนวหน้าของภูมิภาคอาเซียนที่ดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  2 มีนาคม 2566

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เร่งขับเคลื่อนการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกสุทธิภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน จำนวนทั้งสิ้น 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี ค.ศ. 2580 โดยมีมาตรการสำคัญ ได้แก่ การปลูกและฟื้นฟูป่าธรรมชาติ การปลูกป่าเศรษฐกิจ การเพิ่มพื้นที่พื้นที่สีเขียว และการป้องกันการบุกรุกป่าและเผาป่า โดยมอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจกตามภารกิจหน้าที่ของหน่วยงาน

นายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ตั้งเป้าฟื้นฟูป่าชายเลน 3 แสนไร่ ใน 23 จังหวัด ภายใน 10 ปี (ปี 2565-2574) อีกทั้งผลักดันให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาด้วยการเร่งฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมและส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจก

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลทรัพยากรป่าชายเลนได้มีการออกระเบียบ พร้อมจัดทำคู่มือการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต และขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการปลูกป่าชายเลนกับ กรม ทช. เพื่อให้การดำเนินงานปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต เกิดประสิทธิภาพ สัมฤทธิ์ผลทุกมิติ และบรรลุเป้าหมายของทุกฝ่าย โดยมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) ทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ในการจัดเก็บข้อมูลการประเมินคาร์บอนเครดิต

ได้มีการศึกษาการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของไม้สกุลโกงกาง (Rhizophara spp.) ในพื้นที่แปลงปลูกป่าชายเลนของประเทศไทย ดำเนินการโดยคณะทำงานเพื่อศึกษาศักยภาพการเก็บคาร์บอนของป่าชายเลน คณะทำงานเป็นบุคลากรจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และได้รับเกียรติจาก ศ.ดร. สนิท อักษรแก้ว ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานสมาคมป่าชายเลนนานาชาติ (ISME)

โดยมีการเก็บข้อมูลในพื้นที่ 4 โซน แบ่งออกเป็น โซนตะวันออก โซนอ่าวไทย ตัว ก โซนอ่าวไทย และโซนอันดามัน ในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี เพชรบุรี ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง สตูล กระบี่ และพังงา จำนวน 116 แปลง ใน 16 ชั้นอายุ (แปลงปลูกป่าชายเลนที่อายุ 7, 8, 9, 10, 12, 13, 14, 15, 16, 18, 19, 21, 27, 28, 29 และ 30 ปี) โดยผลการศึกษาการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของไม้สกุลโกงกาง (Rhizophara spp.) ในพื้นที่แปลงปลูกป่าชายเลนของประเทศไทย พบว่าป่าชายเลนสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิ 9.4 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อไร่ต่อปี

โครงการปลูกป่าเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต คาดว่าจะสร้างประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งเพิ่มพื้นที่ป่า เพิ่มความสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ และลดการตั้งกำแพงภาษีจากสหภาพยุโรป ตลอดจนสร้างรายได้รวมถึงประโยชน์ต่อชุมชนและประชาชน ให้สามารถประกอบอาชีพตามวิถีชุมชนในเขตป่าชายเลนได้ตามปกติทุกประการ ในส่วนขององค์กรภาคธุรกิจก็จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด มีสิทธิเพียงการคิดคำนวณคาร์บอนเครดิตเท่านั้น และจะต้องดูแลป่าที่ปลูกขึ้นใหม่ต่อเนื่องไปไม่น้อยกว่า 10 ปี


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  1 มีนาคม 2566

กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) ผลักดันเครือข่าย ทสม. เข้ามามีบทบาทการจัดการขยะที่ต้นทางในชุมชน และนำขยะไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นางภาวินี ณ สายบุรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมบทบาทเครือข่าย ทสม. ในการจัดการขยะที่ต้นทาง โดยมีเครือข่าย ทสม. กรุงเทพมหานคร 43 เขต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อให้เครือข่าย ทสม. กรุงเทพมหานครมีองค์ความรู้ มีทักษะ เป็นเครื่องมือใช้ในระดับพื้นที่เชื่อมโยงกับชุมชน เป็นผู้นำด้านการจัดการปัญหาขยะที่ต้นทางในชุมชน สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในพื้นที่ และถ่ายทอดให้กับชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดการขยะที่ต้นทางและเสริมสร้างความรู้ // ริเริ่มแนวคิดการจัดการขยะที่ต้นทาง // นวัตกรรมการจัดการขยะอินทรีย์โดยใช้หนอนแมลงวันลาย และการทำจุลินทรีย์ ทำน้ำหมักจากเศษขยะเหลือใช้ // Workshop จัดทำแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานของเครือข่าย ทสม. ในการจัดการขยะที่ต้นทางแบบบูรณาการมุ่งสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (BCG Model) เนื่องจากเครือข่าย ทสม. เป็นกำลังหลักในระดับพื้นที่เปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญที่มีส่วนร่วมขับเคลื่อนนโยบายด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่จะนำองค์ความรู้กลับไปใช้ประโยชน์ขับเคลื่อนงานด้านการจัดการขยะที่ต้นทางในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม เกิดการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญสร้างเศรษฐกิจ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้คน สังคม และสิ่งแวดล้อม

รองอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวย้ำว่า สส. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพ ทสม. เป็นผู้นำสู่การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการจัดการขยะที่ต้นทางแบบครบวงจร ด้วยการส่งเสริมการคัดแยกขยะตามหลักการ 3Rs ได้แก่ Reduce การลดปริมาณขยะให้น้อยลง // Reuse การใช้ซ้ำ ใช้แล้วใช้อีก และ Recycle การนำไปแปรรูปเพื่อกลับมาใช้ใหม่ รวมถึง การสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ การสนับสนุนการนำนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco - design) สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า “BCG Model” ที่บูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจในสามมิติไปพร้อมกัน คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่คำนึงการนำวัสดุต่างๆกลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด ซึ่งทั้ง 2 เศรษฐกิจนี้อยู่ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ที่มุ่งแก้ปัญหามลพิษลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  28 กุมภาพันธ์ 2566

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เฝ้าระวังน้ำหลากในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง 4 จังหวัดต่อเนื่องถึงวันที่ 2 มีนาคมนี้ เนื่องจากอิทธิพลมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวถึงสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศวันนี้ (28 ก.พ.66) ว่า ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากอิทธิพลมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรงเช่นกัน ทำให้ต้องระวังน้ำหลากถึงวันที่ 2 มีนาคมนี้ ในพื้นที่ จ.สงขลา บริเวณ อ.กระแสสินธุ์ ควนเนียง จะนะ เทพา บางกล่ำ เมืองสงขลา ระโนด รัตภูมิ และหาดใหญ่ // ปัตตานี บริเวณ อ.กะพ้อ โคกโพธิ์ ทุ่งยางแดง ปะนาเระ มายอ เมืองปัตตานี ไม้แก่น ยะรัง ยะหริ่ง สายบุรี และหนองจิก // ยะลา บริเวณ อ.รามัน และนราธิวาส บริเวณ อ.จะแนะ เจาะไอร้อง ตากใบ เมืองนราธิวาส บาเจาะ ยี่งอ ระแงะ รือเสาะ แว้ง สุคิริน สุไหงโก-ลก และสุไหงปาดี รวมทั้ง เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่ง บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของ แม่น้ำสายบุรี แม่น้ำปัตตานี แม่น้ำบางนรา และแม่น้ำโก-ลก


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  27 กุมภาพันธ์ 2566

นางวิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช) แถลงการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อร่วมสร้างโมเดลสวนลดฝุ่น PM2.5 และการเฝ้าระวังฝุ่น PM2.5 ณ ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศกลางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ อาคาร ชั้น 1 อาคาร วช.8 ว่า ที่ผ่านมาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศ การจัดภูมิทัศน์โดยใช้พรรณไม้ลดฝุ่น เป็นทางออกในการแก้ปัญหานี้ได้โดยใช้กลไกความร่วมมือทางวิชาการทุกภาคส่วนทั้งเครือข่ายนักวิจัย สถาบันวิจัยและหน่วยงานต่างๆ

นางวิภารัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในฐานะหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมตามแผนงานสำคัญของประเทศ ซึ่งในแผนงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วช. มุ่งเน้นการวิจัยและนวัตกรรมเชิงรุก เพื่อนำไปสู่การกำหนดแผนงานวิจัยให้ตอบโจทย์ผู้ใช้ประโยชน์และความต้องการของประเทศ


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  26 กุมภาพันธ์ 2566

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เฝ้าระวังฝนตกหนักและน้ำหลากในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง 4 จังหวัด ช่วงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวถึงสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศวันนี้ (26 ก.พ.66) ว่า ภาพรวมภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น โดย 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีฝนตกปานกลางถึงหนักบริเวณ จ.สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ได้คาดการณ์สภาพอากาศพบมีพื้นที่เสี่ยงฝนตกหนักและฝนตกสะสมในภาคใต้ตอนล่างช่วงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม ทำให้ต้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำหลากใน 4 จังหวัด คือ สงขลา // ปัตตานี // ยะลา และนราธิวาส พร้อมระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่ง บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของแม่น้ำสายบุรี แม่น้ำปัตตานี แม่น้ำบางนรา และแม่น้ำโก-ลก รวมถึง ระวังคลื่นซัดฝั่งที่อาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชน และผู้ประกอบกิจการบริเวณแนวชายฝั่งทะเลตั้งแต่ จ.นครศรีธรรมราช จนถึง จ.นราธิวาส

ทั้งนี้ กอนช. ยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตร ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ พร้อมปรับการบริหารจัดการน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก น้ำในลำน้ำ เขื่อนระบายน้ำ และประตูระบายน้ำให้สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ด้วยการเร่งระบายและพร่องน้ำรองรับสถานการณ์ฝนที่คาดว่าจะตกหนัก


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  25 กุมภาพันธ์ 2566

ค่าฝุ่น PM 2.5 ในภาคเหนือ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ยังสูงในหลายพื้นที่ โดยต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้

นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ในฐานะประธานศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) กล่าวว่า วันนี้ (25 ก.พ.66) ค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด พบค่าฝุ่น PM 2.5 ปรับตัวสูงขึ้น โดยสูงในระดับสีส้ม 21 พื้นที่ และสีแดง 5 พื้นที่ บริเวณ ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง // ต.นาจักร อ.เมือง จ.แพร่ // ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก // ต.น้ำรึม อ.เมือง จ.ตาก และ ต.ธานี อ.เมือง จ.สุโขทัย อยู่ที่ 92 - 131 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพราะยังพบการเผาในที่โล่งและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มีผลต่อการสะสมของฝุ่น พร้อมขอความร่วมมือประชาชนงดการบริหารจัดการเชื้อเพลิงจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง ทั้งนี้ ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือมีแนวโน้มฝุ่นละอองขึ้นสูงบริเวณภาคเหนือตอนล่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ และช่วงวันที่ 1 - 4 มีนาคม โดยเฉพาะช่วงต้นเดือนมีนาคมเป็นช่วงที่ควรเฝ้าระวังมากที่สุด ขณะที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบหลายพื้นที่ค่าฝุ่น PM 2.5 ปรับตัวลดลงทุกพื้นที่ ภาพรวมคุณภาพอากาศดีมากถึงปานกลาง

สำหรับกรุงเทพมหานครและปริมณฑลคุณภาพอากาศปานกลางถึงเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยค่าฝุ่นปรับตัวลดลงหลายพื้นที่พื้นที่ จากการจราจรหนาแน่น สภาพอากาศเปิดและลมแรง จึงช่วยกระจายการสะสมตัวของฝุ่นได้มากขึ้น แต่ยังเกินมาตรฐานในระดับสีส้ม 43 พื้นที่ เช่น ริมถนนกาญจนาภิเษก เขตบางขุนเทียน // เขตคลองสามวา // ริมถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย // ริมถนนพระรามที่ 4 หน้าสามย่านมิตรทาวน์ เขตปทุมวัน // ริมถนนลาดกระบัง เขตลาดกระบัง // ริมถนนดินแดง เขตดินแดง // ริมถนนรัชดาภิเษก-ท่าพระ เขตธนบุรี // ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี // ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร // ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ อยู่ที่ 52 - 80 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ ศูนย์แบบจำลองคุณภาพอากาศและภูมิศาสตร์สารสนเทศ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้คาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ช่วงวันที่ 1 - 4 มีนาคม มีแนวโน้มฝุ่นละอองขึ้นสูงอีกบางพื้นที่ ทั้งนี้ สามารถติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศได้ทางแอปพลิเคชั่น Air4Thai


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  24 กุมภาพันธ์ 2566

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA (จิสด้า) ใช้ดาวเทียมติดตามการเกิดไฟป่าพบจุดความร้อนในไทยสูงกว่า 2,000 จุด โดยเฉพาะป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์ ส่วนจุดความร้อนจากประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นเมียนมาสูงสุดกว่า 3,000 จุด

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA (จิสด้า) ได้เปิดเผยข้อมูลจากดาวเทียมซูโอมิ เอ็นพีพี (Suomi NPP) ของระบบเวียร์ (VIIRS) เมื่อวานนี้ (23 ก.พ.66) พบจุดความร้อน (Hotspot) ทั้งประเทศ 2,269 จุด พบมากที่สุดในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 633 จุด // พื้นที่ป่าอนุรักษ์ 1,016 จุด // พื้นที่เกษตร 217 จุด // พื้นที่เขต สปก. 144 จุด และพื้นที่ริมทางหลวง 20 จุด ส่วนจังหวัดที่พบจุดความร้อนมากที่สุด คือ กาญจนบุรี 357 จุด // ตาก 182 จุด // อุตรดิตถ์ 136 จุด // ชัยภูมิ 135 จุด และกำแพงเพชร 114 จุด ทั้งนี้ จากการตรวจสอบค่าฝุ่น PM 2.5 ผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” พบหลายพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น อำนาญเจริญ ยโสธร ร้อยเอ็ด มหาสารคาม นครพนม อยู่ระดับที่เริ่มมีผลต่อสุขภาพ รวมถึง กรุงเทพมหานครด้วย จึงควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจที่อาจจะตามมา สำหรับจุดความร้อนของประเทศเพื่อนบ้านพบสูงสุดในเมียนมา 3,142 จุด รองลงมาคือ กัมพูชา 2,514 จุด , สปป.ลาว 1,582 จุด , เวียดนาม 371 จุด และมาเลเซีย 19 จุด


  1. กอนช. เฝ้าระวังฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ในภาคใต้ ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงซ่อมแซมฝายและขุดลอกลำน้ำแก้ปัญหาตื้นเขิน เพื่อรับมือช่วงหน้าแล้งนี้
  2. จิสด้า ผลักดันใช้เทคโนโลยีอวกาศจัดทำบัญชีคาร์บอนให้กับไทย เพื่อลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกและช่วยประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าได้อย่างถูกต้อง
  3. กรมชลประทาน สานต่อความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น ประชุมการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านการชลประทานและการระบายน้ำ ครั้งที่ 5
  4. คพ. และ ม.เทคโนโลยีสุรนารี ร่วมกันเร่งหาองค์ประกอบทางเคมีของ PM 2.5 ในการจำแนกแหล่งกำเนิดหลักในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาฝุ่น หลังพบสูงขึ้นบ่อยครั้ง
© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.