• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  15 มีนาคม 2567

ที่มา : MGR Online  (https://mgronline.com/science/detail/9670000022984)

วงการอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์คาดการณ์ว่า ทุกปีโลกจะมีคอมพิวเตอร์เพิ่มประมาณ 300 ล้านเครื่อง โทรศัพท์มือถือเพิ่ม 1,000 ล้านเครื่อง นอกจากนั้นก็มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ อีก เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น พัดลม เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ ที่ต่างก็มีเพิ่มทุกปี ครั้นเมื่ออุปกรณ์เหล่านี้หมดสภาพ หรือเสีย หรือทำงานบกพร่อง วัสดุทั้งหมดก็จะถูกกำจัดโดยการทิ้งลงถังขยะ เป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ขยะอี (e-waste)..ที่นับวันจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เช่นในปี 2011 องค์การสภาพแวดล้อมของสหประชาชาติได้รายงานว่า โลกมีขยะอี 35.8 ล้านตัน ปี 2015 ปริมาณขยะอีได้เพิ่มเป็น 46.4 ล้านตัน ถึงปี 2019 โลกมีขยะอี 53.6 ล้านตัน และในปี 2023 ปริมาณขยะอี ได้เพิ่มเป็น 61.3 ล้านตันแล้ว ตัวเลขล่าสุดนี้ แสดงให้เห็นว่า โดยเฉลี่ยประชากรโลกแต่ละคนสร้างขยะอี ได้ในปริมาณ 8 กิโลกรัมสถิติการสำรวจล่าสุดยังแสดงให้เห็นอีกว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ผลิตขยะอีมากที่สุด คือ 7.1 ล้านตัน และจีนมาเป็นอันดับสองที่ 6.0 ล้านตัน ปริมาณขยะอีที่มากเช่นนี้ ชี้นำว่าในทุกวินาที จะมีคนทิ้งเครื่องคอมพ์ 800 เครื่อง ลงถังขยะ ในความเป็นจริงสิ่งที่เราเรียกว่าขยะอีนั้น มีอะไรๆ หลายอย่างที่เป็นโทษมากกว่าขยะปกติทั่วไป ซึ่งมีแต่จะสร้างความสกปรก รกรุงรัง เพราะขยะอีเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีชิ้นส่วน ซึ่งทำด้วยแร่ธาตุ และสารประกอบต่างๆ มากมาย ที่เป็นพิษต่อสุขภาพ ถ้าขยะอีนั้นถูกกำจัดโดยวิธีการที่ไม่เหมาะสม สารพิษก็จะหวนกลับมาทำลายสุขภาพของคนและสภาพแวดล้อมของชุมชนในที่สุดเพราะเวลานักวิทยาศาสตร์ใช้อุปกรณ์ X-ray..spectrometer,..gas..chromatography..และ mass spectrometer วิเคราะห์ขยะ ก็มักจะพบแร่พิษหลายชนิด เช่น ตะกั่ว ซึ่งเวลาขยะอีถูกเผา ตะกั่วที่มีอยู่ในชิ้นส่วนของอุปกรณ์จะระเหิดกลายเป็นไอ ให้ผู้คนสูดหายใจเข้าปอด และถ้าร่างกายได้เก็บสะสมฝุ่นตะกั่วในปริมาณมาก ระบบหายใจและระบบขับถ่ายจะทำงานบกพร่อง นอกจากนี้การวิเคราะห์ในบางครั้งก็อาจจะพบ chromium ในสารประกอบ hexavalent chromium (CrVI) ที่สามารถทำให้ระบบหายใจของร่างกายมีอาการระคายเคืองในจมูก คอ ปอด และถ้าร่างกายมี chromium สะสมในปริมาณมาก กระเพาะก็อาจจะเป็นแผล (ulcer) บางคอมพิวเตอร์อาจจะมีธาตุ cadmium..ที่เป็นพิษ เพราะสามารถทำอันตรายปอด ไต และทำให้ร่างกายเป็นโรคกระดูกอ่อน หรือมีธาตุ selenium..ที่ถ้าสูดหายใจเข้าร่างกาย อาจทำให้เป็นโรค Parkinson, Alzheimer และ Multiple sclerosis ที่ทำให้ร่างกายมีอาการสั่นกระตุกอย่างรุนแรง นอกจากนี้ในขยะอีก็อาจจะมี bromine..ที่มักพบในรูปของสารประกอบ decabromodiphenyl..ether (หรือ decaBDE) ที่บริษัทคอมพิวเตอร์มักใช้ในการทำอุปกรณ์ เพราะสารนี้มีคุณสมบัติต่อต้านการลุกไหม้ได้ดี คือ ทำให้ติดไฟได้ยาก และธาตุสุดท้ายที่น่ากลัวก็คือปรอท ซึ่งถ้าร่างกายได้รับเข้าไปในปริมาณมาก จะทำให้ตาและผิวหนังมีอาการระคายเคือง นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลด และหายใจลำบาก เป็นต้น


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  14 มีนาคม 2567

ที่มา https://www.onep.go.th/wp-admin/post.php?post=91746&action=edit

มหาวิทยา Surrey Global Center for Clean Air Research  พบว่า ปรากฏการณ์ลดอุณหภูมิเมือง สามารถทำได้จริง แม้กระทั่งสวนหย่อมตามบ้านขนาดเล็กก็มีส่วนสำคัญ ซึ่งงานวิจัยกำลังศึกษาลึกลงไปในรายละเอียดว่า ต้นไม้ประเภทไหนลดอุณหภูมิได้มาก ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบเช่น ประเภทของร่มเงาของต้นไม้ การระเหยของน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ แนวการปลูกต้นไม้ เป็นต้น

โครงการ Green Bangkok 2030 นอกจากต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวต่อประชากร ให้ได้ถึง 9 ตร.ม./คน ภายในปี 2030 แล้ว ยังมีเป้าหมายการเพิ่มสวนสาธารณะขนาดเล็ก (Pocket Park)ให้เข้าถึงได้ในระยะ 400-800 เมตรอีกด้วย

แม้กทม.จะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ แต่ในยุคสมัยต่างๆ ของผู้ว่าราชการจังหวัดคนก่อนๆต่อเนื่องกันมา ได้มีการแก้ปัญหา เพิ่มพื้นที่สีเขียวในหลากหลายลักษณะ ทั้งใช้ที่ดินกทม.เอง หรือ เช่าที่ มาทำสวนสาธารณะ  บางที่ได้รับพระราชทานมาจากในหลวงรัชกาลที่ 9 และยังมีการบริจาคมาจากภาคเอกชน หรือได้รับความร่วมมือจากพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้งานจากหน่วยงานรัฐต่าง ๆ อีกด้วย

โดยปกติแล้วเมืองใหญ่ทำลายสิ่งแวดล้อมมากกว่า ใช้ทรัพยากรมากกว่า เป็นสาเหตุในการเร่งภาวะโลกร้อนรอบโลกมากกว่าพื้นที่ชุมชนอื่นๆ พื้นที่สีเขียวจึงจำเป็นที่ต้องอยู่คู่กับเมืองไปด้วย เพราะนอกจากจะทำให้เมืองคลายร้อนให้เมืองเย็นขึ้น ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึมซับน้ำส่วนเกิน ลดมลพิษทำความสะอาดอากาศ ก็ยังเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้คน ในเชิงความงดงาม และ คลายเครียดได้ด้วย


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  13 มีนาคม 2567

ที่มา: https://www.matichon.co.th/politics/news_4466769

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการต่อเนื่องจากการเดินทางเยือนประเทศฝรั่งเศสของนายกรัฐมนตรีและคณะระหว่างวันที่ 8 – 12 มีนาคม 2567 นอกเหนือจากการเจรจาเรื่องเศรษฐกิจและการส่งเสริม Soft Power นอกจากนั้น คือแผนการจับมือกันแบบทวิภาคีด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อการร่วมมือปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและคุ้มครองชนิดพันธุ์ ระหว่างไทย – ฝรั่งเศส เพื่อพัฒนาหนังสือแสดงเจตจำนง ภายใต้ความร่วมมือแผนการ สำหรับการดำเนินความสัมพันธ์ไทย – ฝรั่งเศส

แผนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐฝรั่งเศสในระยะเวลา 3 ปี ประกอบด้วยความร่วมมือใน 4 ด้าน ได้แก่ 1.การส่งเสริมความร่วมมือเพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคง เช่น การต่อต้านภัยคุกคามไซเบอร์ การก่อการร้าย เป็นต้น 2.การเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น การส่งเสริมการลงทุนในสาขาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว 3.การเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนกับประชาชน มุ่งเน้นการสร้างสังคมที่ยั่งยืนและเท่าเทียม เช่น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การแลกเปลี่ยนทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น และ 4.การส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นระดับโลก มุ่งเน้นความร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเด็นเร่งด่วน เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปกป้องสิ่งแวดล้อมและคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น

ร่างหนังสือแสดงเจตจำนง มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือและบูรณาการเชิงนโยบายระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐฝรั่งเศส และสนับสนุนให้เกิดโครงการความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมโดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจะดำเนินงานร่วมกันใน 2 ประเด็น ได้แก่ 1.ความหลากหลายทางชีวภาพกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ 2.การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมความร่วมมือต่าง ๆ ทั้งนี้ หนังสือแสดงเจตจำนงฉบับนี้จะไม่สร้างพันธกรณีหรือข้อผูกพันที่มีผลทางกฎหมายใด ๆ ให้แก่ประเทศผู้ลงนามทั้งสองฝ่าย ทั้งกฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  12 มีนาคม 2567

ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์ (https://www.dailynews.co.th/news/3246778/)

การลดปริมาณขยะ ลดต้นทุนการจัดการขยะ “การคัดแยกนับแต่ต้นทาง” ก่อนทิ้งลงถังขยะนั้นมีความสำคัญ เพราะในแต่ละวันมีขยะเกิดใหม่เกิดขึ้นไม่น้อย ทั้งนี้พาส่อง การจัดการขยะ มหาวิทยาลัยมหิดลการเพิ่มมูลค่าขยะ คัดแยกเพื่อการหมุนเวียน ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า กระทั่งเศษใบไม้ที่หล่นร่วง

การบริหารจัดการขยะ ลดปริมาณขยะในมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา “โครงการธนาคารขยะรีไซเคิล” เป็นหนึ่งในโครงการที่ดำเนินการมายาวนานกว่า 10 ปีที่สร้างความตระหนักการคัดแยกขยะ สร้างการมีส่วนร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมยั่งยืน โดยที่ผ่านมาโครงการฯขยายองค์ความรู้สู่ชุมชนและโรงเรียนโดยรอบมหาวิทยาลัย ทั้งนี้นำเรื่องน่ารู้การคัดแยกขยะ ลดปริมาณขยะ โดย วรพจน์ เฉลิมกลิ่น นักวิชาการเกษตร กองกายภาพและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดลให้ความรู้ว่า ปัญหาขยะเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญ การจัดการขยะภายในมหาวิทยาลัยจะมีเทศบาลเข้ามาจัดเก็บ แต่ระหว่างการรอเก็บจะมีปัญหาเรื่องกลิ่น สุนัขขุดคุ้ยขยะ ฯลฯ อีกทั้งถ้ามองในองค์ประกอบขยะพบการทิ้งขยะเปียก แก้ว กระป๋อง กระดาษ ฯลฯ ทุกประเภทปะปนรวมกัน หากนำมาแยกจะพบว่ามีขยะที่สามารถนำมารีไซเคิล จัดการให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้ จึงรณรงค์ทุกหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยร่วมกันคัดแยกขยะจากต้นทาง ขยะรีไซเคิลสามารถนำมาขายให้กับธนาคารขยะรีไซเคิล โดยธนาคารฯเป็นตัวกลาง รวบรวมจัดส่งสู่การรีไซเคิล “การคัดแยกขยะจัดเก็บอย่างถูกวิธีนำมาซึ่งความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นในด้านสิ่งแวดล้อม หรือความสะอาดของพื้นที่ ทั้งยังปลูกสร้างพื้นฐานการคัดแยกขยะส่งต่อรุ่นต่อรุ่น รวมถึงช่วยการจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสิ่งไหนที่นำกลับไปรีไซเคิล นำกลับไปใช้ประโยชน์ได้ก็จะไปถึงจุดหมาย ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวม”

การคัดแยกขยะ ขยะเปลี่ยนยังเป็นเงิน อย่างเช่น ประเภทอะลูมิเนียมหนึ่งในขยะที่มีราคา ขณะที่ กลุ่มกระดาษ กระดาษขาว-ดำ กระดาษสมุด หนังสือเล่ม และลังกระดาษก็มีราคา รวมถึงกลุ่มขวดพลาสติก ฯลฯ การคัดแยกประเภทขยะนับแต่ต้นทาง นอกจากทำให้เห็นถึงมูลค่า ยังช่วยการจัดการขยะปลายทางได้ดียิ่งขึ้น โดยแนวคิดการคัดแยก การจัดการขยะจากที่กล่าวขับเคลื่อนส่งต่อความรู้ต่อไปยังชุมชน และอีกหลายโรงเรียนโดยรอบมหาวิทยาลัย ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม รู้จักกับขยะที่สามารถนำกลับมาใช้หมุนเวียนนักวิชาการเกษตร กองกายภาพและสิ่งแวดล้อม คุณวรพจน์ อธิบายอีกว่า การคัดแยกขยะก่อนทิ้ง เป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันและให้ความสำคัญ ปัจจุบันมีถังขยะแบ่งประเภท หรือการจัดการขยะในบ้าน สามารถจัดเก็บเป็นระบบ กระป๋อง ขวดพลาสติก หรือกระดาษ ฯลฯ แยกเป็นประเภท ซึ่งการคัดแยกขยะส่งผลที่ดีต่อไปยังปลายทาง นอกจากนี้ ขยะอาหาร เศษใบไม้ เศษพืช เรายังนำมาทำ ปุ๋ยหมัก โดยเฉพาะเศษใบไม้ที่มีจำนวนมากในมหาวิทยาลัยนำกลับมาใช้ประโยชน์ ลดการเผาทำลายเกิดมลพิษ เกิดเปลวไฟ ทั้งลดต้นทุนการดูแลรักษาสภาพแวดล้อม โดยเศษใบไม้โดยรอบมหาวิทยาลัยที่ผ่านมาผลิตปุ๋ยช่วยการจัดการปัญหาใบไม้ ทั้งสร้างรายได้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ปุ๋ยหมักจำหน่ายและนำกลับคืนกลับมาบำรุงดูแลต้นไม้ ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ฯลฯ โดยส่วนหนึ่งนี้เริ่มขึ้นจากการคัดแยกขยะจากต้นทาง แยกประเภทก่อนทิ้งเพื่อเกิดการหมุนเวียน นำกลับมาใช้ประโยชน์ต่ออย่างคุ้มค่า


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  11 มีนาคม 2567

ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/environment/1116955

หญ้าทะเล เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยแหล่งอนุบาลตัวอ่อนสัตว์น้ำ ตลอดจนเป็นแหล่งหากินของสัตว์ทะเลนานาชนิดรวมถึงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ และยังมีส่วนช่วยในการกรองและปรับปรุงคุณภาพน้ำ

ปัจจุบัน ‘หญ้าทะเล’ กลับพบว่า เสื่อมโทรม ทั้งจากธรรมชาติ และจากกิจกรรมของมนุษย์ ตัวอย่างในพื้นที่เกาะลิบง หญ้าทะเลหายไปมากกว่า 50% และส่งผลต่อสัตว์ทะเลหลายชนิด เช่น หอยชักตีน หอยตลับ ปลิงทะเล รวมถึงปลาหน้าดิน

นอกจากนี้ หญ้าทะเล ยังเป็นอาหารของสัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์อย่างเต่า และ พะยูน ใน 1 วัน พะยูนกินหญ้าทะเล 5-10% ของน้ำหนักตัว และพะยูนตัวเต็มวัย สามารถหนักได้ถึง 250-420 กิโลกรัม

อย่างไรก็ตาม ชุมชนส่วนใหญ่ซึ่งมักตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเล แหล่งหญ้าทะเลจึงเป็นระบบนิเวศแรกๆที่รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ บนแผ่นดิน ทั้งที่เกิดตามธรรมชาติและจากมนุษย์ เช่น การพัฒนาด้านเกษตรกรรมต่างๆ ทั้งเพาะปลูกและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำล้วนมีผลกระทบต่อพื้นที่หญ้าทะเลทั้งสิ้น


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  10 มีนาคม 2567

ที่มา: https://mgronline.com/south/detail/9670000019925

ผู้ประกอบการโรงแรมในจังหวัดตรัง ร่วมกับศิลปินระดับแนวหน้าจาก 22 ประเทศ ซึ่งศิลปินชาวจังหวัดตรัง และสมาคมศิลปินนานาชาติภาคใต้ ได้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากขยะ และขยะทะเล Art trash international เพื่อรณรงค์เรื่องการทิ้งขยะในแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งรีไซเคิล หรือนำวัสดุเหลือใช้มาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์และมีคุณค่า ซึ่งเหล่าศิลปินได้นำขยะจากทะเล เช่น เศษอวน เศษพลาสติก ซากไม้ ขวดแก้ว เศษโลหะ มาประดิษฐ์เป็นชิ้นงานศิลปะที่สื่อถึงทะเลตรัง เช่น เต่าทะเล พะยูน ปะการัง

นายจักษณ์ญพงศ์ อ๋องเจริญกฤษ ผู้ประกอบการโรงแรมดูก็องวิลเลจ มองว่า เนื่องจากงานศิลปะกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมสามารถทำไปควบคู่กันได้ จึงเกิดเป็นแนวคิดการจัดงาน Art trash international ขึ้นในครั้งนี้ เพราะขยะสามารถนำมาสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะที่สวยงามได้ และจริง ๆ แล้วขยะทะเลไม่ได้หมายถึงขยะที่อยู่บนชายหาด หรือเกาะในบ้านเราอย่างเดียว แต่หมายถึงขยะในมหาสมุทรที่กระแสน้ำพัดเข้ามาจากทั่วโลก ซึ่งมีผลกระทบต่อสัตว์ทะเล เช่น สัตว์ทะเลกินขยะ หรือได้รับไมโครพลาสติกเข้าไปในร่างกาย

นอกจากนี้ กลุ่มศิลปินดังกล่าวยังได้ทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้าน นักเรียน นักศึกษา และกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในพื้นที่ ด้วยการเก็บขยะบริเวณชายหาดปากเมง ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม พร้อมทั้งช่วยออกแบบลายผ้าบาติกให้กลุ่มอาชีพของบ้านในตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง และตำบลไม้ฝาด ตำบลบ่อหิน อำเภอสิเกา โดยผลงานของศิลปินทั้งหมดจะจัดแสดงที่ภายในโรงแรมดูก็องวิลเลจ ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ตลอด


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  9 มีนาคม 2567

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  (https://www.prachachat.net/sd-plus/sdplus-sustainability/news-1517567)

โลกเดือด สัญญาณอันตรายเมื่อไทยอุณหภูมิพุ่งสูง 50 องศา เป็นอย่างไร? การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ อาจเป็นจุดจบของมวลมนุษยชาติ ในขณะที่ภาคธุรกิจ ต่อไปจะมีเกณฑ์วัดBio-Credit..ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังสร้างผลกระทบทั่วโลก เพราะอุณหภูมิของโลกยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีรายงานว่าบางจังหวัดอาจร้อนทะลุ 50 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าอยู่ในระยะอันตราย

           โลกเดือด จุดจบมนุษยชาติ?..ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวบนเวทีสัมมนา งานอรุณ สรเทศน์ รำลึก 2567 ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงความท้าทายในการเดินหน้าอนาคตประเทศ โดยเฉพาะอุณหภูมิของโลกที่นับว่ายิ่งสูงขึ้น โดย ดร.พิรุณกล่าวว่า หายนะมีหลายรูปแบบ ที่เพิ่งผ่านพ้นไปคือ โควิด-19 และกำลังเผชิญกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังก้าวเข้าสู่“Biodiversity..Collapse”..หรือการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ถึงตรงนี้นั่นคือจุดจบของมวลมนุษยชาติ..“ผลกระทบที่เราเห็นภาพชัดเจนคือ หมีขั้นโลกเริ่มอยู่ยาก เพราะน้ำแข็งขั้วโลกละลายทำให้เขาไม่สามารถหาอาหารได้ในเขตที่อาศัยอยู่ หรือดอกไม้บานในแอนตาร์กติกา เป็นความสวยงามที่แฝงหายนะ เพราะการที่ดอกไม้บานในขั้วโลกที่มีแต่ธารน้ำแข็งไม่ใช่เรื่องที่เราควรมองข้าม รวมถึงประเทศไทย กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกอาจจะสูงขึ้นไปถึง 50 องศาเซลเซียส แน่นอนว่ากระทบต่อการจัดการชีวิตประจำวันของทุกคนแน่นอน โดยเฉพาะด้านสุขภาพ อาหารการกิน เพราะอย่างทะเล นักวิชาการ กรมทะเลและชายฝั่งก็เริ่มออกมาเตือนว่า เราเอาเผชิญกับปะการังฟอกขาวในน้ำทะเลอีกครั้ง”

ดร.พิรุณกล่าวต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เราก็ต้องร่วมกันแก้ปัญหาก่อน ด้วยวิธีใดก็ตาม เพื่อหวังผลว่าอีก 15-20 ปีข้างหน้า ผลกระทบจะบรรเทาลง และอยู่ในระดับที่มั่นคง ยั่งยืน..“วันนี้เลขาธิการสหประชาชาติบอกว่า สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ใช่ยุคของ Global warming แต่มันคือ Global Boiling หรือยุคโลกเดือด การที่เรามาสู่จุดนี้ เพราะโลกทั้งโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมไปแล้วกว่า 2500 จิกะตัน (Gt)..หรือคิดเป็น 2500 ล้านล้านตัน..ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมหาศาลคือปัญหาสิ่งแวดล้อม หนึ่งในนั้นคือปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การประชุมดาวอสมีการพูดกันว่า ถ้ามันรุนแรงขึ้น อาจจะมีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 12.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2050 หรือ 27 ปีต่อจากนี้..โดยกติกาโลกก็จะเปลี่ยน ธุรกิจต้องมองเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงซัพพลายเชนจ์ต้องเป็นสีเขียว ตลาดคาร์บอนจะมีบทบาทในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ไม่ใช่โซลูชั่นหลัก มันเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ต้องใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น เพื่อให้เราเข้าสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ การรายงานการปล่อยก๊าซจากนี้ต้องมีความโปร่งใสมากขึ้น” ดร.พิรุณกล่าวอีกว่า เราต้องเปลี่ยนผ่านเรื่องพลังงานให้ได้ ไม่เช่นนั้นไทยไม่มีทางเป็นกลางคาร์บอน หรือเป็น Net Zero ได้ รวมถึง Carbon Tax จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคต แรงกดดันจากต่างประเทศก็จะมากขึ้นด้วย เพราะวันนี้เริ่มเห็นว่า CBAM มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (European Union หรือ EU) ต้องเสียเงินให้เขา ถ้าปริมาณการปล่อยก๊าซของเรามากกว่าเขา แว่วๆ ว่าจะมีอเมริกา แคนาดา อีกแห่งประกาศ และอียูจะเพิ่มผลิตภัณฑ์ ตอนนี้กำหนดแค่ 5 ต่อไปอาจจะมากกว่าเดิม

TOP 5 ประเทศปล่อยก๊าซสูงสุดในโลก ดร.พิรุณเผยอีกว่า อย่างไรก็ตามเราจำเป็นเป้าหมายการปรับตัว ประเทศพัฒนาแล้วควรจะให้ความสำคัญมากกว่านี้ เพราะว่าอุณหภูมิสูงขึ้นทุกวัน ประเทศพัฒนาแล้วได้รับผลกระทบ มีความเสียหายมากมาย แต่คนที่รวยมาก่อน หรือพัฒนาแล้ว ก๊าซเรือนกระจกที่สะสมทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ก็มาจากประเทศพัฒนาแล้วทั้งหมด โดย Top..5 ประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด ดังนี้

อันดับ 1 จีน ปล่อย 25% ประมาณ 12,705 ล้านตัน      อันดับ 2 อเมริกา ปล่อย 12% ประมาณ 6,000 ล้านตัน

อันดับ 3 อินเดีย ปล่อย 7.02% ประมาณ 3395 ล้านตัน  อันดับ 4 อินโดนีเซีย ปล่อย 3.93% ประมาณ 1,913 ล้านตัน

อันดับ 5 รัสเซีย ปล่อย 3.93% ประมาณ 1,890 ล้านตัน ในขณะที่ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 19 ประมาณ 0.93% ซึ่งข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจาก NGO ยังไม่ใช่ข้อมูลทางการที่เปิดเผยโดยสหประชาชาติ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  8 มีนาคม 2567

ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/environment/1116196

“ขยะพลาสติก” เป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกกำลังกังวล เพราะมีจำนวนมาก ใกล้จะล้นโลกเต็มที แถมพลาสติกใช้เวลาย่อยสลายนาน และแตกตัวกลายเป็นพลาสติกขนาดเล็ก หรือ “ไมโครพลาสติก” ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม และสามารถเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ได้โดยไม่รู้ตัว ทำให้หลายประเทศต่างเร่งหาวิธีแก้ปัญหา และลดปริมาณขยะให้ได้เร็วที่สุด

ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์พบว่ามีเอนไซม์ และแมลงกินพลาสติกบางชนิด เช่น เห็ดราย่อยพลาสติกบริเวณริมฝั่งบึงน้ำกร่อย หรือดักแด้ของหนอนผีเสื้อกลางคืนที่สามารถอาศัยอยู่บนโพลีเอทิลีน (พลาสติก PE) เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตที่กินพลาสติกเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์จึงพยายามหาวิธีขยายพันธุ์พวกมันให้ได้จำนวนมาก

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์ (NTU Singapore) ได้พัฒนา “ลำไส้หนอนเทียม” (artificial worm gut) ที่สามารถช่วยย่อยสลายพลาสติกได้ โดยไม่จำเป็นต้องการเพาะพันธุ์หนอนจำนวนมาก


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.