• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  16 มิถุนายน 2567

ที่มา : มติชนออนไลน์ (https://www.matichon.co.th/bullet-news-today/news_4623086)

กระบี่ อีกหนึ่งจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก จากข้อมูลเมื่อปี 2566 พบว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนกว่า 3.8 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 5 หมื่นล้านบาท ทว่าท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวต้องแลกมากับปัญหาขยะล้นเมืองที่สั่งสมมาตลอด ซึ่งในอดีตตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมาใช้วิธีสร้างพื้นที่ฝังกลบขยะขนาดใหญ่บนพื้นที่ 251 ไร่ ต่อมาขยะมูลฝอยมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เฉพาะแค่ เขตเทศบาลเมืองก็มีขยะใหม่เพิ่มเฉลี่ยวันละ 200 ตันต่อวัน ที่ส่วนใหญ่มาจากการกินใช้ในชีวิตประจำวัน อาทิ เศษอาหารสด เปลือกมะพร้าว ถุงพลาสติก เศษกระดาษ เศษผ้า หลอดดูดน้ำ วัสดุ เฟอร์นิเจอร์ชำรุด ฯลฯ ตกค้างเป็นกองภูเขาขยะรอกำจัดมากกว่า 8 แสนตัน จนเกิดการร้องเรียนของชาวบ้านเกี่ยวกับผลกระทบเรื่องกลิ่นเหม็น แมลงวัน รวมถึงน้ำชะขยะที่ทำให้น้ำบ่อใต้ดินไม่สามารถใช้ได้หลังศึกษาวิธีจัดการขยะที่เหมาะสมมานานกว่า 20 ปี ในที่สุดกระบี่ก็มีแนวคิดจะกำจัดขยะด้วยวิธีการเผาในระบบปิดแล้วนำพลังงานความร้อนที่ได้มาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าแบบเดียวกับที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม อาทิ อังกฤษ เยอรมนี สวีเดน สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่น เลือกใช้ เพราะเชื่อว่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะกับสิ่งแวดล้อมมากสุด จึงได้มีการออกเงื่อนไขการประกวดราคาเพื่อหาภาคเอกชนที่มีศักยภาพ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญมาร่วมทุนกับเทศบาลฯ พร้อมเสนอกระทรวงมหาดไทยพิจารณาอนุมัติประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างเพื่อดำเนินโครงการ “โรงไฟฟ้าขยะชุมชนเทศบาลเมืองกระบี่” ขึ้นภายในบริเวณศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองกระบี่แห่งนี้

ในที่สุดก็ได้คัดเลือกบริษัท อัลไลแอนซ์ คลีน เพาเวอร์ จำกัด ภายใต้กลุ่มบริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE ที่มีประสบการณ์ในการทำโรงไฟฟ้าขยะชุมชนร่วมกับเทศบาลนครขอนแก่นมาเป็นผู้รับผิดชอบ โดยใช้เทคโนโลยีเผาตรงระบบปิดแบบสุญญากาศเช่นเดียวกับที่ขอนแก่น และกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วดังเช่นที่กล่าวข้างต้น อันเป็นโมเดลโรงไฟฟ้าขยะชุมชนต้นแบบที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากชุมชนและหน่วยงานในประเทศและต่างประเทศ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษ หรือผลกระทบใดต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมแน่นอน โดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 รองรับการนำขยะมากำจัดได้สูงสุดวันละ 450 ตัน เทคโนโลยีเผาตรงระบบปิด ไร้กลิ่น ไร้มลพิษ ไร้น้ำเสีย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจุดเด่นโรงไฟฟ้าขยะชุมชนแห่งนี้ คือ การใช้กระบวนการผลิตไฟฟ้าแบบ Direct..Incineration..ที่เป็นวิธีการเผาตรงระบบปิดแบบสุญญากาศ สามารถกำจัดขยะที่มีความชื้นได้สูงถึง 80% ที่สำคัญคือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะตลอดกระบวนการของโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะไม่ก่อให้เกิดกลิ่นเหม็น ด้วยระบบ Negative Pressure ไม่มีฝุ่นละออง ไม่มีการปล่อยน้ำออกนอกโครงการ โดยมีการบำบัดน้ำแบบครบวงจรและนำกลับมาใช้ตามหลัก Zero Discharge พร้อมติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศเชื่อมสัญญาณตรงไปยังกรมโรงงาน มอนิเตอร์ได้แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง จึงปลอดภัยต่อชุมชนรอบข้างเป็นอย่างมาก


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  15 มิถุนายน 2567

ที่มา https://thai.cri.cn/2024/06/13/ARTIrqKTOv8E0ecT4OYabds5240613.shtml

ปี 1972 เป็นปีแรกที่สหประชาชาติจัดการประชุมใหญ่เกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก ณ กรุงสต็อคโฮล์ม ประเทศสวีเดน  มีประเทศเข้าร่วม 113 ประเทศ ที่ประชุมมีมติกำหนดให้ทุกวันที่ 5 ของทุกปีเป็น “วันสิ่งแวดล้อมโลก” (World Environment Day) มีการร่างปฏิญญาว่าด้วยการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งแผนงานต่าง ๆ ที่จะปฏิบัติ ตั้งแต่นั้นการประชุมก็จัดขึ้นทุกปี หมุนเวียนไปตามประเทศต่าง ๆ ปีนี้ประเทศปากีสถานเป็นเจ้าภาพ

แม้มนุษย์จะตระหนักถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับโลก และเริ่มรวมกำลังกันประชุมเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา แต่ผลที่ได้ตลอดกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาตั้งแต่การประชุมครั้งแรก สิ่งแวดล้อมโลกทุกด้านกลับเลวร้ายลงอย่างน่าตกใจ อะไรที่ไม่เคยเกิดมาก่อนก็มาเกิดขึ้นในยุคนี้ อะไรที่เคยเกิดอยู่แล้วก็เกิดอีกด้วยอัตราความถี่และความร้ายแรงที่แย่ลงกว่าเก่า  คำว่า “โลกร้อน” ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้เองเป็นคำที่มนุษย์คิดขึ้นเพื่อบอกกล่าวให้รู้ถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับโลก ปัจจุบันคำนี้ถูกแทนที่ด้วยคำว่า “โลกเดือด” ซึ่งไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่ามันคือความจริงอันน่ากลัวที่กำลังจะเกิดขึ้น 

จีนเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกอย่างจริงจังมาโดยตลอดไม่ว่าประเทศไหนเป็นเจ้าภาพในนามของสหประชาชาติ แต่จีนก็จัดงานของตัวเองขึ้นทุกปีเช่นกัน ปีนี้จัดที่นครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง กำหนดคำขวัญเพื่อ่ใช้เป็นเป้าหมายปฏิบัติร่วมกันทั้งประเทศว่า… “ร่วมกันผลักดันจีนให้สวยงามทั่วทุกด้าน” หลังทำพิธีเปิดงานแล้วประธานได้กล่าวสุนทรพจน์ ฉายภาพยนตร์เรื่อง “มองดูจีนที่สวยงามจากที่นี่” จากนั้นได้ประกาศผลการทำงานในรอบปีที่ผ่านมา


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  14 มิถุนายน 2567

ที่มา: https://www.thaipr.net/exhibition/3482440

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มุ่งมั่นพัฒนา ‘พื้นที่’ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ด้วยวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all ภายใต้บทบาท Place Maker เชื่อมโยงทั้ง Place-People-Planet เดินหน้าตามเป้าหมายองค์กร Net Zero 2050 จัดงานกรีนเอ็กซ์โป Better Futures Projects 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ภายใต้คอนเซ็ปต์ ANSWER THE CALL นิทรรศการสาย ACTION ลงแรงทำเพื่อโลก ระหว่างวันที่ 17 – 23 มิถุนายน 2567 ที่ชั้น 1 โซน Dazzle และโซน Beacon 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และตลาด Action Market @centralwOrld Offices พร้อมชวนลูกค้า พันธมิตร หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทั่วประเทศ ลงมือทำเพื่อดูแลโลกร่วมกันครั้งยิ่งใหญ่

โดยภายในงาน อัดแน่น 4 ไฮไลต์กิจกรรมสายกรีน ให้ทุกคนร่วมสร้างประสบการณ์รักษ์โลก ดังนี้ 1.)  ท่อง ACTion Exibition เปิดนิทรรศการเพื่อโลก ชวนทุกคนมาออกไอเดีย Create a Better Now จะลงมือทำเพื่อดูแลโลกอย่างไร พร้อมเพลิดเพลินกับห้อง Save the Sea ACTperience powered by EPSON สัมผัสประสบการณ์การกู้โลกใต้ทะเล 2.) เทค ACTion พบกับ Chair to Share เก้าอี้นี้ มีไว้แชร์ โชวเคสจากแบรนด์ชั้นนำ ได้แก่ Levi’s®, Sabina, Casetify พร้อมเปิดให้ทุกคนมาร่วมแชร์เรื่องดี ๆ ทำเพื่อโลกอย่างการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน 3.) โทร บอกโลก ที่ Answer the Call Phone Booth ชวนทุกคนมาบอกถึงสิ่งที่อยากบอก ไม่ว่าจะบอกถึงเด็กรุ่นใหม่ คนรุ่นใหญ่ หรือบอกหน่วยงานต่าง ๆ 4.) ทอล์ก รักษ์โลก พบกับเสวนา Central Pattana Green Partnership 2024 ครั้งแรกที่เซ็นทรัลพัฒนา ผนึกพลังพันธมิตรกว่า 200 ราย มาร่วมถกประเด็นฮอต โลกร้อน ชวนแบรนด์สายแอคชั่นลงแรงทำเพื่อโลก ในวันที่ 19 มิถุนายน 2567 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ ห้อง At Work ชั้น 3 centralwOrld Offices

นอกจากนี้ ยังมีโซนพื้นที่กิจกรรมจากแบรนด์ต่างๆ ครอบคลุมทั้ง shop-eat-work-play-stay-live พร้อมบูธกิจกรรมจาก SCG และ RECYCLE DAY จุดรับรีไซเคิลแลกแต้ม และให้ทุกคนได้ช้อปปิ้งพร้อมโชว์ใบเสร็จ เพื่อแลกรับคะแนน The1 จากร้านค้า Green Stores ที่ร่วมรายการ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่่งแวดล้อม  13 มิถุนายน 2567

ที่มา : รัฐบาลไทย (https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/84381)

“พัชรวาท” ต้อนรับ รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมมาเลเซีย หารือความร่วมมือการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไทย – มาเลเซีย วันที่ 12 มิถุนายน 2567 เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรธรณี กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ให้การต้อนรับ นายนิค นัซมี บิน นิค อะฮ์มัด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมประเทศมาเลเซีย และคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. และร่วมหารือถึงความร่วมมือการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศไทยกับ มาเลเซียณ ห้องประชุม ชั้น 20 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย พล.ต.อ.พัชรวาท ได้กล่าวต้อนรับถึงความสัมพันธ์ของประเทศไทยและมาเลเซีย ที่มีความผูกพันกันอย่างใกล้ชิดและยาวนาน โดยมีความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ อาทิ การต่อต้านการลักลอบค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย การบริหารจัดการทรัพยากรธรณี การแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ซึ่งกระทรวงฯ ได้เสนอร่างบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านการต่อต้านการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมาย ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมสัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ คาบสมุทรมาเลเซีย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แห่งประเทศมาเลเซีย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการต่อต้านการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย และในโอกาสนี้ ได้เชิญนายนิค นัซมี บิน นิค อะฮ์มัด เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการระดับรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม เรื่อง มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ 25 ที่ประเทศไทยจะเป็นประธานและเจ้าภาพ ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 ณ โรงแรมอวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ และได้ขอให้มาเลเซียเร่งรัดพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อจะลงนามร่วมกันได้ในระหว่างช่วงการประชุมดังกล่าวด้าน นายนิค นัซมี บิน นิค อะฮ์มัด ได้กล่าวแสดงความขอบคุณกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ให้การต้อนรับและร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยมีความสนใจเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาระบบการรับรองคาร์บอนเครดิต ซึ่งมาเลเซียสนใจที่จะพัฒนาในประเทศของตน และเห็นว่าระบบให้การรับรองคาร์บอนเครดิตของไทย ได้แก่ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) มีพัฒนาการมากที่สุดในภูมิภาคนี้ และประสงค์จะมีความร่วมมือในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ด้านนี้ต่อไป นอกจากนี้ ได้แจ้งถึงวาระการเป็นประธานอาเซียนของประเทศมาเลเซียในปี พ.ศ. 2568 โดยคาดหวังว่าจะได้ประสานงานและดำเนินความร่วมมือกับประเทศไทยและอาเซียนต่อไป ซึ่งกระทรวงฯ ยินดีให้การสนับสนุนมาเลเซียอย่างเต็มที่


สำนักข่าว เอ็นบีที คอนเนค  12 มิถุนายน 2567

ที่กรมควบคุมมลพิษ นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และนายวิจารย์  สิมาฉายา ผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ลงนามความร่วมมือการพัฒนาและส่งเสริมฉลากถังบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูปและสิทธิภาพสูง เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคอย่างบ้านพักอาศัย หรืออาคารที่มีปริมาณน้ำเสียไม่เกิน 30 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน มีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำบัดน้ำเสียแบบติดกับที่ ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดคุณภาพน้ำเสื่อมโทรมของประเทศไทยที่มีมาอย่างต่อเนื่องที่มีสาเหตุหลักมาจากการระบายน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัดหรือบำบัดน้ำเสียไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด โดยเฉพาะแหล่งกำเนิดประเภทชุมชนที่มีปริมาณน้ำเสียเกิดขึ้นราว 11 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน แต่ได้รับการบำบัดโดยระบบบำบัดน้ำเสียรวมเพียง 2.7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวันเท่านั้น หากมีการผลักดันให้ฉลากถังบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูปและสิทธิภาพสูง เป็นที่ยอมรับและนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ก็จะเป็นการส่งเสริมมาตรการการลดปริมาณและความสกปรกของน้ำเสียชุมชน ณ แหล่งกำเนิด นำไปสู่การลดผลกระทบต่อคุณภาพในแหล่งน้ำต่าง ๆ ของประเทศต่อไป

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า กรมควบคุมมลพิษ ได้ติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทั่วประเทศ พบว่าปัญหาน้ำเสียในชุมชน เป็นปัญหาหลักของคุณภาพน้ำในประเทศไทย การพัฒนาและส่งเสริมฉลากถังบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูปและสิทธิภาพสูง จึงจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงการใช้ถังบำบัดน้ำเสียได้ง่าย ในราคาย่อมเยา และติดตั้งได้ทุกครัวเรือน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  11 มิถุนายน 2567

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/news/3517386/

ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า เนื่องในวันที่ 8 มิถุนายน เป็นวันทะเลโลก โดยในปีนี้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจัดกิจกรรมขึ้นโดยจะมีกิจกรรมหลักที่ Sea Life Bangkok Ocean World สยามพารากอน กรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด “Awaken New Depths ปลุกกระแส แก้วิกฤตมหาสมุทร” พร้อมเปิดตัวแอปพลิเคชั่นที่มีชื่อว่า “Marine Warning” ระบบเตือนภัยท่องเที่ยวทางทะเล ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นแจ้งเตือนภัยบริเวณที่อาจเกิดภัยพิบัติขึ้นได้ รวมถึงข้อปฏิบัติเมื่อเผชิญเหตุพร้อมวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อได้รับบาดเจ็บจากแมงกะพรุนพิษและภัยทางทะเลอื่น ๆ

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กับบริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ที่นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ผ่านการทำงานของระบบเตือนภัยท่องเที่ยวทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นจากการท่องเที่ยว รวมทั้งติดตาม ตรวจสอบ เฝ้าระวัง และรายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเล และเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจในการเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตามนโยบายของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ต้องการให้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเล โดยให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสามารถเช็คข้อมูลสถานการณ์เพื่อวางแผนเส้นทางท่องเที่ยวทางทะเลให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

นายชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า เชฟรอนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ให้การสนับสนุนกรม ทช. ในการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยท่องเที่ยวทางทะเล เพื่อให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวได้เข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างทันท่วงที โดยได้ประสานความร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งได้ส่งทีมงานด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ ร่วมหาแนวทางในการพัฒนาระบบ ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัย โดยแอปพลิเคชั่นนี้มีระบบแจ้งเตือนภัยทางทะเลในกรณีต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีระบบรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน ข้อควรระวัง รวมถึงแนวทางรับมือและการปฐมพยาบาล ตลอดจนองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ทางทะเล ซึ่งการสนับสนุนในครั้งนี้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานของเชฟรอน ในฐานะบริษัทพลังงานที่มุ่งให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่งต่อชุมชนและบุคลากร รวมถึงปกป้องสิ่งแวดล้อม


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  10 มิถุนายน 2567

ที่มา : Salika.com (https://www.salika.co/2024/06/09/reduce-foam-box-waste-to-construction-material/)

ต้องยอมรับว่าในยุคนี้มีการทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการลดปริมาณขยะหลายประเภท ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความตระหนักร่วมกันในการมีส่วนร่วมแก้ปัญหาขยะที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกลไกของเทคโนโลยี นวัตกรรม และงานวิจัย นี่เองที่จะมีส่วนในการช่วยลดปริมาณขยะได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะขยะโฟมที่ย่อยสลายยาก ซึ่งวันนี้เป็นที่น่ายินดีว่าขยะประเภทนี้ได้ถูกนำไปเพิ่มมูลค่าเป็น วัสดุก่อสร้างมวลเบา หรือวัสดุก่อสร้างเชิงวิศวกรรม ตอบสนองความต้องการใช้งาน เปิดกว้างรูปแบบสร้างสรรค์ในอุตสาหกรรมก่อสร้างยุคใหม่ ด้วยกระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน ต้นทุนต่ำ วัตถุดิบหาได้ในประเทศ สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้อย่างยั่งยืน โดยผลงานวิจัยนี้เป็นของ นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมแปลงขยะโฟมขาวให้เป็นทุน ร่วมแก้โจทย์การลดปริมาณขยะพลาสติกที่ย่อยสลายช้าสร้างมลภาวะ ด้วยการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ขยะโฟมขาว PS สู่วัสดุก่อสร้างมวลเบา หรือวัสดุก่อสร้างเชิงวิศวกรรม ได้สำเร็จ

         รองศาสตราจารย์ ดร.อนันต์ ทองระอา อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ได้เป็นประธานในพิธีเปิดการแถลงข่าวผลงานวิจัยและนวัตกรรม “การเปลี่ยนขยะโฟมขาว PS..สู่ วัสดุก่อสร้างมวลเบา” ซึ่งเป็นผลงานของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อุทัย มีคำ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการออกแบบ สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ มทส. โดยการแถลงข่าวนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมงานวันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2567ที่จัดขึ้น ณ มทส. เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อุทัยได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลงานวิจัยและนวัตกรรม “การเปลี่ยนขยะโฟมขาว PS..สู่ วัสดุก่อสร้างมวลเบา” ว่า “จากสภาพปัญหาปัจจุบันของปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะขยะพลาสติก ขยะโฟมกล่องบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ระยะเวลานานในการย่อยสลาย หรือวิธีการกำจัดที่ต้องใช้มูลค่าสูง นวัตกรรมนี้ มุ่งไปที่ขยะโฟมขาวชนิดโฟม Polystyrene..(PS) ที่ถูกใช้เป็นวัสดุกันกระแทก และกล่องรักษาความเย็น ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” “ด้วยเหตุนี้ จึงมีแนวคิดในการเปลี่ยนขยะโฟมขาว ให้เป็น วัสดุก่อสร้างมวลเบา ตามหลักการประยุกต์ใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์มวลเบา (Lightweight..Product..Design Applications)..โดยนำวัสดุเหลือใช้จากภาคอุตสาหกรรม หรือบรรจุภัณฑ์ที่ขึ้นรูปจากโฟมขาว ที่พบทั่วไป นำมาเพิ่มมูลค่า (Upcycling) ทำให้ได้ วัสดุมวลเบาเชิงวิศวกรรม (Lightweight Engineered) รูปแบบใหม่ ที่มีคุณสมบัติพิเศษเหมาะสมสำหรับอุตสาหกรรมการก่อสร้าง” “โดยนวัตกรรมนี้มีคุณสมบัติโดดเด่น คือ เป็นวัสดุมีน้ำหนักเบา สามารถปรับรูปแบบ ขนาด รูปร่าง ได้ตามความต้องการใช้งาน เช่น แผ่นตัวหนอนปูพื้นทางเดิน แผ่นปูผนังหินทรายประดิษฐ์สำหรับประดับตกแต่งอาคาร รวมถึงใช้เป็นวัสดุทดแทนกรวดทราย เพื่อใช้ในการหล่อผลิตภัณฑ์กระถางต้นไม้ที่มีน้ำหนักเบา เป็นต้น”


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  9 มิถุนายน 2567

ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/environment/1129856

ชาวยุโรปผลิตขยะสิ่งทอประมาณ 11 ล้านตัน เฉลี่ยแล้วชาวยุโรป 1 คน จะทิ้งขยะสิ่งทอประมาณ 11 กิโลกรัมต่อปี แต่มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ถูกนำกลับมารีไซเคิลหรือใช้ใหม่

เพื่อแก้ปัญหาขยะสิ่งทอ อียูกำหนดให้มีหนังสือเดินทางผลิตภัณฑ์ดิจิทัล ระบุข้อมูลที่ชัดเจนสามารถย้อนกลับไปหาที่มาของแหล่งวัสดุได้ ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ของตนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่เริ่มการผลิตจนการกำจัดขยะ

รัฐสภายุโรปกำหนดให้ประเทศในสหภาพยุโรปจะต้องแยกสิ่งทอแยกออกจากขยะชนิดอื่น ภายในวันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อเตรียมการใช้ซ้ำ และการรีไซเคิล

ปีเตอร์ ฮลาดิก รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อม เน้นย้ำถึงเป้าหมายของกฎหมายนี้ทำขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าขยะสิ่งทอจะได้รับการรีไซเคิล และนำกลับมาใช้มากขึ้น อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการรีไซเคิล


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.