• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  23 พฤษภาคม 2567

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์  (https://www.thairath.co.th/news/society/2787602)

นักวิชาการสิ่งแวดล้อม ชี้ “ภาวะโลกเดือด” ทำให้เครื่องบินมีโอกาสตก “หลุมอากาศ” เพิ่มมากขึ้น พร้อมอธิบายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ..วันที่ 22 พฤษภาคม 2567 มีรายงานว่า ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Sonthi..Kotchawat ระบุว่า โลกร้อนขึ้น โอกาสที่เครื่องบินจะตกหลุมอากาศมากขึ้น..เพราะอะไร?..1. เครื่องบินที่บินในบริเวณซีกโลกตะวันตก หรือบินจากโลกตะวันตกมายังซีกโลกตะวันออก มีโอกาสที่จะตกหลุมอากาศบ่อยขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิในบรรยากาศของโลกที่สูงขึ้น ทำให้ลมกรด หรือ Jet..stream..ซึ่งเป็นลมที่ใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมการบินแปรปรวน 2. Jet Streams หรือลมกรดเป็นกระแสลมที่ไหลเวียนในระดับความสูง ประมาณ 7.0 ถึง 16 กม. เหนือจากพื้นโลก มีความเร็วสูงมากถึง 200-400 กม./ชม. เป็นลมที่พัดจากทิศตะวันตกมายังทิศตะวันออกของโลก ดังนั้นถ้าเครื่องบินบินจากซีกตะวันตกมาทางซีกตะวันออก ก็ควรวางแผนการบินให้บินตามกระแสของ Jet stream..จะทำให้มีความเร็วเพิ่มขึ้น ช่วยประหยัดพลังงาน และลดเวลาในการบินสั้นลง แต่หากจะบินจากตะวันออกมาทางตะวันตก ก็ควรบินหลบ Jet stream ให้มากที่สุด เพราะจะสวนกระแสลม ทำให้ใช้เวลาการบินมากขึ้น..อุณหภูมิในบรรยากาศของโลกที่สูงขึ้น เนื่องจากโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ทำให้ลมกรด หรือ Jet stream ลดความเร็วลงในบางช่วง มีงานวิจัยระบุว่าอุณหภูมิในบรรยากาศที่สูงขึ้น ในแถบทวีปอาร์กติกซึ่งร้อนขึ้นเกือบสี่เท่าของค่าเฉลี่ยทั่วโลก กำลังส่งผลให้กระแสลมกรด (jet..stream)..ซึ่งเป็นลมที่มีกำลังแรงพัดอยู่บนชั้นบรรยากาศในบางช่วงมีความเร็วลดลง ทำให้เกิดอากาศแปรปรวน ในขณะที่อากาศปลอดโปร่ง (Clear..Air Turbulance) มากขึ้น (ทั้งที่ไม่ได้บินผ่านเมฆหรือพายุ)..เนื่องจากช่วงที่ความเร็วของลมกรดลดลง จะทำให้ความหนาแน่นของมวลอากาศในช่วงบริเวณดังกล่าวบางลง ซึ่งทำให้เกิด “หลุมอากาศ” ขึ้น ในขณะที่เครื่องบินได้บินผ่านหลุมอากาศ แรงยกจากปีกของเครื่องบินจะลดลงอย่างกะทันหัน ทำให้ตัวเครื่องตกลงไปในหลุมอากาศ ซึ่งจะตกมากหรือน้อย อยู่ที่ขนาดของความหนาแน่นของมวลอากาศ นักวิจัยชี้ว่าอัตราการเกิดหลุมอากาศ จะเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าภายในปี 2050 และอาจมีเครื่องบินต้องเผชิญกับหลุมอากาศที่รุนแรงมากขึ้นถึง 40% ทั้งนี้ ดร.สนธิ คชวัฒน์ ยังโพสต์อีกว่า เครื่องบินอาจตกหลุมอากาศบ่อยขึ้น แม้บินอยู่ในท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง..สัมพันธ์กับการที่โลกเข้าสู่ภาวะ “โลกเดือด“..1. โลกร้อนทำให้อุณหภูมิบนผิวโลกสูงขึ้น 1.2 ถึง 1.4 องศา จากยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ยิ่งระดับความสูงจากผิวโลกขึ้นไปเกือบ 20 กม. อุณหภูมิบรรยากาศยิ่งร้อนขึ้น จึงไปทำให้ลมระดับบน ที่ระยะความสูงระหว่าง 7.0 ถึง 16 กม. จากผิวโลกที่เรียกว่าลมกรด หรือ Jet stream ซึ่งมีความเร็วเฉลี่ย 200 ถึง 400 กม. ต่อ ชม. และเคลื่อนที่จากซีกโลกตะวันตกไปยังตะวันออก มีความเร็วลดลงในบางช่วงบางขณะ..ซึ่งจะทำให้ความหนาแน่นของมวลอากาศบริเวณนั้นลดลงด้วย ทำให้เกิดความแปรปรวนของอากาศ ทั้งที่อากาศช่วงนั้นปลอดโปร่ง ไม่มีพายุหรือเมฆฝนใดๆ เรียกว่า Clear Air Turbulance หรือ CAT หากมีเครื่องบินบินผ่าน แรงยกจากปีกของเครื่องบินจะลดลงอย่างกะทันหัน และเครื่องจะตกลงไปในมวลอากาศที่บางลงซึ่งเรียกว่า การตกหลุมอากาศ (Air Pocket) 2. โลกร้อนขึ้น อุณหภูมิในบรรยากาศโลกสูงขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะเครื่องบินตกหลุมอากาศมากขึ้น ทั้งๆ ที่เครื่องบินบินอยู่ในบรรยากาศที่ปลอดโปร่งได้ ซึ่งเรื่องนี้เกิดบ่อยขึ้น นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาค้นพบว่า ตั้งแต่ปี 1979 ถึง ปี 2020 มีเครื่องบินตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้น จากก่อนหน้านั้นถึงร้อยละ 55 และมีความสัมพันธ์ โดยตรงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบนพื้นโลก สู่บรรยากาศทำให้โลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ดำเนินการใดๆ ในปี 2050 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะสูงขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเรียกว่า “สภาวะโลกเดือด” อาจจะทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงมากขึ้นถึง 40% จากปี 2023 แม้ในขณะที่บินผ่านในบรรยากาศที่ปลอดโปร่งก็ตาม


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  22 พฤษภาคม 2567

ที่มา https://www.dailynews.co.th/news/3454514/

นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผวจ.เชียงใหม่ เป็นประธานเปิดกิจกรรม “จิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจ” ทำแนวป้องกันไฟเปียก (Wet Fire Break) เพื่อป้องกันพื้นที่สำคัญและสร้างความชุ่มชื้นในพื้นที่ป่า และกิจกรรมจิตอาสาสนับสนุนการสร้าง “ป่าเปียก” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศ มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร

โดยการดำเนินการสร้างป่าเปียกที่วัดพระธาตุดอยสะเก็ด ได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งศูนย์ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยเขต 10 ลำปาง ได้ดำเนินการสูบน้ำจากหนองบัวเจ้าหลวง ขึ้นมาบนวัดพระธาตุดอยสะเก็ดพระอารามหลวง เพื่อสร้างความชุ่มชื้นรอบพื้นที่กว่า 40 ไร่

กิจกรรมดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกหน่วยงานทุกพื้นที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องทั้งปี แม้ขณะนี้จะเป็นช่วงปลายฤดูฝุ่นควันแล้วก็ตาม โดยเชื่อมั่นว่าหากทุกพื้นที่ร่วมกันดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตจะช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้ป่าได้เป็นอย่างดี ระบบนิเวศในป่าจะอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้ชาวบ้านสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  21 พฤษภาคม 2567

ที่มา: https://www.naewna.com/local/805610

นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนางสาววรนุช สวยค้าข้าว รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือ “งานเวียนเทียนด้วยต้นไม้ วันวิสาขบูชา 2567” และธรรมบรรยาย โดยพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ณ บริเวณองค์พระพุทธวิสุทธิมงคล ริมทะเลสาบ สวนเบญจกิติ เขตคลองเตย

นายศานนท์ กล่าวว่า มี 2 ประเด็นหลักที่อยากให้เกิดความร่วมมือกัน เรื่องแรกคือกรุงเทพมหานครเป็นคนดูแลพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเรามีสวนระดับเมืองประมาณ 50 แห่ง โดยกิจกรรมส่วนใหญ่จะเน้นการออกกําลังกาย แต่บางครั้งเราลืมเรื่องการออกกําลังใจ จึงจัดให้มีกิจกรรมเช่น ดนตรีในสวน และธรรมะในสวนที่ได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย เรื่องที่สอง คือนโยบายโครงการต้นไม้ล้านต้น ซึ่งปัจจุบันเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเยอะมาก แต่ว่าระดับปัจเจกบุคคลหรือประชาชนยังน้อย ซึ่งกิจกรรมเวียนเทียนด้วยต้นไม้ ที่มูลนิธิปลูกต้นไม้ ปลูกธรรมะ และภาคีเครือข่ายได้ส่งเสริม ลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ

ด้านนางสาววรนุช กล่าวเสริมว่า สำหรับนโยบายปลูกต้นไม้ล้านต้น ล่าสุดมียอดปลูกแล้วกว่า 920,000 ต้น ซึ่งงานเวียนเทียนด้วยต้นไม้ในวันวิสาขบูชาปีนี้น่าจะช่วยเพิ่มจำนวนการปลูกมากขึ้น รวมทั้งยังสามารถสานต่อไปยังนโยบายสวน 15 นาทีอีกด้วย ซึ่งกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต ได้ร่วมกับวัดในพื้นที่จัดกิจกรรม เปลี่ยนจากการใช้ธูปเทียนเปลี่ยนมาเวียนเทียนด้วยต้นไม้ โดยกรุงเทพมหานครได้สนับสนุนกล้าไม้และจัดเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวกแก่ประชาชนทุกท่าน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  20 พฤษภาคม 2567

ในยุคปัจจุบันที่ความยั่งยืน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรศฐกิจและสังคม “ทักษะสีเขียว” มักนำมาใช้ในธุรกิจหรือองค์กร ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการดำเนินงานที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ทักษะสีเขียว เป็นสิ่งจำเป็นไม่เพียงเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาวด้วย

รองศาสตราจารย์จตุรงค์ นภาธร คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศึกษาวิจัยพบว่าช่องว่างระหว่างระบบการศึกษาและพัฒนาทักษะในการปฏิบัติงานของประเทศไทยกับความต้องการของตัวองค์การหรือบริษัทในการปฏิบัติงานสีเขียวยังคงมีอยู่ กล่าวคือ ระบบการศึกษาและพัฒนาทักษะในประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตบุคลากรที่มีความรู้ ทักษะ และความสามารถในการปฏิบัติงานสีเขียวได้ทันที (industry-ready) ในจำนวนที่เพียงพอกับความต้องการขององค์การหรือบริษัทซึ่งก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้องค์การหรือบริษัทชั้นนำในประเทศไทยหลายแห่ง ที่หันมาใส่ใจกับการปฏิบัติงานสีเขียว/การรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นต้องลงทุนฝึกอบรมและพัฒนาพนักงานของตนเองให้มีความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานสีเขียวตามที่ต้องการ ทั้งในรูปแบบของการฝึกอบรมในห้องเรียน การศึกษาดูงาน การฝึกอบรมในงาน (On-the-job training) การโค้ชขิ่ง การให้พนักงานที่มีประสบการณ์มากกว่าเป็นพี่เลี้ยงคอยสอนงานพนักงานใหม่หรือพนักงานที่มีประสบการณ์น้อยกว่า (Mentoring) การติดตามบุคคลต้นแบบ (Job Shadowing) และการประพฤติปฏิบัติตัวของผู้บริหารเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับพนักงาน (Role..Model)  การแก้ไขปัญหาด้านการพัฒนาทักษะสีเขียว ภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาล สถาบันอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัย และองค์การหรือบริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องร่วมมือกัน เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ  (https://www.bangkokbiznews.com/environment/1127477)


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  19 พฤษภาคม 2567

ที่มา: https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2785890

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ มูลนิธิ SOS และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดตัว “โครงการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank): การบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน คำตอบในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม“

ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “วิกฤติขยะอาหาร” ที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางอาหารของประชาชนกลุ่มเปราะบาง นอกเหนือจากการกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาขยะอาหารแล้ว การลดการสูญเสียอาหารตั้งแต่ต้นทางถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการลดวิกฤติปัญหาขยะอาหาร จากข้อมูลที่ได้มีการศึกษาพบว่า ประเทศไทยมีอาหารส่วนเกินมากถึงเกือบ 4 ล้านตันต่อปี ในขณะที่มีการรายงานตัวเลขของประชากรของประเทศที่มีรายได้น้อยและมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาการเข้าถึงอาหารอยู่ถึง 3.8 ล้านคน

การเปิดตัวธนาคารอาหารของประเทศไทยครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารส่วนเกิน การกอบกู้อาหาร และการส่งต่ออาหารส่วนเกินอันจะช่วยส่งเสริมให้ลดการเกิดขยะอาหาร และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศไปด้วยกัน และหวังเป็นต้นแบบของการสร้างแบบจำลองการส่งต่ออาหารส่วนเกินให้สังคมไทย

คุณทวี อิ่มพูลทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ SOS ประเทศไทย กล่าวว่า มูลนิธิ SOS ดำเนินงานอย่างมุ่งมั่นที่จะลดปัญหาขยะอาหารและส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการกอบกู้อาหารส่วนเกินจากผู้ผลิตอาหารในเครือข่ายของหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร้านสะดวกซื้อ โรงแรม และร้านอาหาร ซึ่งเป็นผู้บริจาคอาหาร และนำอาหารเหล่านี้ส่งต่อให้กับเครือข่ายผู้รับบริจาคอาหาร ทั้งกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ซึ่งกระบวนการกู้ภัยอาหารและการส่งต่ออาหาร ได้มีการทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้แทนเอกชนผู้ผลิตอาหารในการร่วมกันดำเนินงานกู้ภัยอาหารจากบริจาคอาหาร ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการรับบริจาคอาหารที่ร่วมกับผู้นำชุมชน ปัจจุบันมูลนิธิได้ส่งต่ออาหารส่วนเกินไปแล้วกว่า 8.3 ล้านกิโลกรัม หรือคิดเป็น 35 ล้านมื้อ ให้แก่ชุมชนต่าง ๆ มากกว่า 3,600 แห่ง ซึ่งเท่ากับว่าเราได้ลดการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการนำอาหารไปฝังกลบถึง 21,166 ตัน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  18 พฤษภาคม 2567

ที่มา: https://japantoday.com/category/features/environment/school%27s-out-how-climate-change-threatens-education

ความร้อนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้รัฐบาลเอเชียต้องปิดโรงเรียน ซึ่งความร้อนนั้นไม่ได้เป็นเพียงภัยคุกคามเพียงอย่างเดียว แต่บรรยากาศที่อุ่นขึ้นก็กักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วม ไฟป่า และมลภาวะทางอากาศ ซึ่งอาจทำให้โรงเรียนปิดได้เช่นกัน

Shumon Sengupta ผู้อำนวยการองค์กรพัฒนาเอกชน NGO Save the Children กล่าวว่า เดือนเมษายนถือเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกันที่บังกลาเทศประสบกับอุณหภูมิที่ร้อนจัด ซึ่งไม่เพียงแต่อุณหภูมิที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่ระยะเวลาของอุณหภูมิสูงยังยาวนานกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งโรงเรียนส่วนใหญ่ทั่วเอเชียไม่มีความพร้อมพอที่จะรับมือกับผลกระทบที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบดังกล่าวมีผลรายแรงกับชุมชนที่ยากจนกว่า เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถหาสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกสำหรับการเรียน และการปิดโรงเรียนทำให้นักเรียนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ เช่น คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และหนังสือ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคุกคามการศึกษาทางอ้อมอีกด้วย การวิจัยของ UNICEF ในเมียนมาร์พบว่า การขาดแคลนพืชผลที่เกิดจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นและฝนที่ไม่อาจคาดเดาได้ทำให้ครอบครัวต่าง ๆ ต้องดึงเด็กออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยทำงานด้านการเกษตร ขณะที่ทางการออสเตรเลียได้ปิดโรงเรียนหลายครั้งเนื่องจากไฟป่า


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 17 พฤษภาคม 2567

ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์  (https://www.matichonweekly.com/column/article_767775)

หลายจังหวัดได้พายุฤดูร้อนพาน้ำฝนช่วยคลาย “ร้อนจัด” ลงมาให้เหลือแค่ “ร้อน” บ้าง (บางที่ก็เห็นใจบ้านเรือนเสียหายจากพายุ) และฤดูฝนกำลังมาช่วยคลายร้อนลงอีก แต่ก็ต้องเตรียมใจว่าอุณหภูมิความร้อนชื้นก็ยังอยู่ในไทยไปอีกหลายเดือนโลกที่เราอาศัยกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะมนุษย์ผู้สร้างและผู้ทำให้เสื่อมในเวลาเดียวกัน หากเราไม่ย่อท้อต่อสู้กับภาวะโลกร้อนนี้ก็ยังมีหนทางอยู่เสมอ องค์การสหประชาชาติ (United Nations) ให้ข้อมูลเรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ คือปราการธรรมชาติที่ดีที่สุดของเราในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Biodiversity – our strongest natural defense against climate change) เนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวไว้น่าสนใจว่า กิจกรรมที่มนุษย์ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกนั้น มีปริมาณครึ่งหนึ่งถูกดูดซับโดยพื้นดินและมหาสมุทร ซึ่งมาจากระบบนิเวศและเพราะความหลากหลายทางชีวภาพเป็นตัวช่วยเหมือนแหล่งกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติ เท่ากับแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยอาศัยธรรมชาติมนุษย์จึงจำเป็นต้องรักษาปกป้อง การจัดการ และฟื้นฟูป่าไม้ไว้ให้มากที่สุด ที่น่าทึ่ง คือ พื้นที่พรุ (ป่าพรุ) และพื้นที่ชุ่มน้ำ แม้ว่าในโลกนี้จะมีพื้นที่เช่นนี้ไม่มากเพียง 3% ของพื้นที่โลก แต่มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนไว้ถึง 2 เท่าของป่าทั้งหมด การอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ป่าพรุ พื้นที่ชุ่มน้ำจะช่วยเก็บคาร์บอนไม่ให้ลอยออกไปสู่ชั้นบรรยากาศโลก พื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย นักวิชาการแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้ 1) พื้นที่ชุ่มน้ำทางทะเลและชายฝั่งทะเล (Marine and Coastal Wetlands) เช่น แนวปะการังชายฝั่ง หาดทราย แหล่งน้ำกร่อย หาดโคลน หาดเลน ป่าชายเลน ฯลฯ 2) พื้นที่ชุ่มน้ำภายในแผ่นดินใหญ่ (Inland Wetlands) เช่น ทะเลสาบ หนอง บึง ห้วย ป่าพรุ ฯลฯ 3) พื้นที่ชุ่มน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น (Human-made Wetlands) เช่น อ่างเก็บน้ำ สระน้ำ บ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ พื้นที่เกษตรกรรมซึ่งมีน้ำท่วมขัง ฯลฯข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติยังบอกอีกว่า พื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ป่าชายเลนและหญ้าทะเลมีความสามารถในการดักจับและกักเก็บคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศได้ในอัตราที่สูงกว่าป่าบนบกถึง 4 เท่า แต่น่าห่วงใยมากในช่วงอากาศร้อนจัดที่ผ่านอุณหภูมิน้ำทะเลร้อนสุดสุด จนหญ้าทะเลในไทยตายไปจำนวนมากอย่างไรก็ตาม ป่าชายเลนและหญ้าทะเลที่ยังเหลืออยู่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสู้กับสภาพภูมิอากาศแปรปรวนในวันวิสาขบูชาที่จะถึงนี้ นอกจากมีความสำคัญทางพระพุทธศาสนาแล้ว ยังนับเป็น “วันต้นไม้แห่งชาติ” ด้วย ถ้าปีนี้เราช่วยกันคิกออฟ มาช่วยกันอนุรักษ์ ฟื้นฟู ปลูกเพิ่มพืชพันธุ์ความหลากหลายทางชีวภาพทั้งทางบกและในน้ำ จะเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการดูดซับก๊าซคาร์บอนและลดความรุนแรงของความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ มูลนิธิสุขภาพไทยเคยจัดทำข้อมูลสมุนไพรในพระไตรปิฎก โดยสำรวจและวิเคราะห์ต้นไม้หรือสมุนไพรที่กล่าวไว้ ในพระไตรปิฎกของไทย 45 เล่ม นับพืชได้ 321 ชนิด ต่อมาได้มีการทบทวนพบว่ามีการเรียกชื่อต่างกันแต่เป็นพืชชนิดเดียวกัน เช่น บัว จึงนับจำนวนใหม่ได้ 311 ชนิด ในขณะที่เอกสารอินเดียในตำรายาอายุรเวทที่เกี่ยวพันกับพืชในพระไตรปิฎกนับได้ถึง 435 รายการ แม้จำนวนนับไม่เท่ากันซึ่งอาจมาจากการแปลและระบุชื่อพืชต่างกันก็ไม่ใช่สาระสำคัญ เพียงให้ช่วยปลูกสมุนไพรในวัดกันมากๆ น่าจะดีตัวอย่างแนะนำให้ปลูกเริ่มจากอักษร ก. ต้นกรรณิการ์ (Nyctanthes arbor-tristis L.) และนอกจากกระบากแล้ว ชวนปลูกสมุนไพรที่กล่าวถึงทุกชนิดที่ออกผลแล้วนำไปถวายพระพุทธเจ้า พืชเหล่านี้ใช้ประโยชน์ทั้งอาหารและยาสมุนไพรลองนึกเล่นๆ (ทำจริงๆ) ข้อมูลเข้าถึงทางเว็บไซต์ (วันที่ 7 พฤษภาคม 2567) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (http://binfo.onab.go.th/Temple/Dashboard.aspx)..วัดที่มีพระสงฆ์ทั่วประเทศ จำนวน 43,848 วัดหากตั้งเป้าหมายว่าทุกวัดควรมีพื้นที่สีเขียวหรือปลูกต้นไม้ ปลูกสมุนไพรให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของพื้นที่วัด เช่น วัดมีขนาด 10 ไร่ ก็ต้องมีพื้นที่สีเขียวอย่างน้อย 3 ไร่ มากกว่านี้ยิ่งดี และเน้นความหลากหลายทางชีวภาพด้วยสมุนไพรในพระไตรปิฎกมี 300 กว่าชนิด ปลูกให้ได้อย่างน้อย 150 ชนิดยิ่งดีวัดใดมีพื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติ หนอง บึง ห้วย หรือพื้นที่ชุ่มน้ำสร้างเอง อ่างเก็บน้ำ สระน้ำ บ่อน้ำ ก็ให้พืชขึ้นตามธรรมชาติ อาจดูรกๆ แต่คือเครื่องดูดก๊าซคาร์บอนช่วยลดโลกร้อนที่ดีวิสาขบูชาปีนี้ เวียนเทียนด้วยต้นไม้ ถวายสมุนไพรให้เต็มวัด และจะเป็นเด็กวัดอาสาช่วยลงแรงปลูกรดน้ำให้ต้นไม้งอกงามให้ความร่มเย็นทางใจและลดโลกร้อนก็อนุโมทนาสาธุ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  16 พฤษภาคม 2567

ที่มา https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_8231886#google_vignette

หลังจากริเริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2566 ในปีนี้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ นำร่องร่วมมือ กับ “โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า นครราชสีมา” โรงงานผลิตอาหารสัตว์บกโคกกรวด โรงงานผลิตอาหารสัตว์บก ธารเกษม โครงการรักษ์นิเวศ และกรมป่าไม้ จัดค่ายอนุรักษ์สภาพแวดล้อม “ปันรู้ ปลูกรักษ์” ณ โครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง จังหวัดลพบุรี โดยมี อาจารย์นัทภา วรรณประพันธ์ ผู้อำนวยการและคณะครูนำนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 สมาชิกชมรมอนุรักษ์สภาพแวดล้อม และนักเรียนที่สนใจด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 40 คน

โครงการเขาพระยาเดินธงเป็นพื้นที่ต้นแบบด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า โดยซีพีเอฟ ร่วมกับกรมป่าไม้ ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน จัดการเรียนรู้แบบ Play+Learn เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน บูรณาการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ หรือ STEM ประกอบด้วย ฐานเส้นทางของนักอนุรักษ์ การทำฝายชะลอน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผืนป่า ฐานเรียนรู้ชนิดเมล็ดพันธุ์ไม้ การเพาะชำกล้าไม้ การวัดกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ การเรียนรู้ความหลากหลายของผีเสื้อ แมลง และการเดินชมนก

นอกจากนี้ น้องๆ ยังได้ร่วมกิจกรรมภาพในฝันของนักอนุรักษ์ ระดมความคิดกันที่แหล่งอาหารสัตว์ป่าและความหลากหลายทางชีวภาพ หรือบึงนกกระจาบ ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอดูนก และแหล่งน้ำที่สำคัญในโครงการ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การฟื้นฟูป่าเขาพระยาเดินธงจากป่าเสื่อมโทรมสู่สภาพปัจจุบันร่วมกับนายถนอมพงศ์ สังข์ธูป ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการปลูกป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 5 (สระบุรี)


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.