• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  18 กันยายน 2567

ที่มา: https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_9416979

ททท. จับมือพันธมิตรสื่อฯ – ภาคเอกชน สร้างกิจกรรมท่องเที่ยวแบบไร้คาร์บอนดูแลสิ่งแวดล้อมจากการท่องเที่ยวแบบ EV ทัวร์ริ่ง – แคมป์ปิ้ง ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวในรูปแบบแคมป์ปิ้งชูกลุ่มรถ EV ที่ร่วมเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนพร้อมทำกิจกรรมต่าง ๆ ณ The Escape Hill Camping อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี และแวะทำกิจกรรมกับโรงเรียนกลางดงปุณณวิทยา เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน

นายณัฐปคัลภ์ อัครวิชญ์ ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ททท. มีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่เป็นการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งนอกจากจะเป็นการท่องเที่ยวที่เน้นการดูแลสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการท่องเที่ยวที่ก่อให้เกิดรายได้ในพื้นที่ ในชุมชนต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมและประชาชนสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนหันมาให้ความสนใจกับพลังงานทดแทน

ทั้งนี้ นายปณต คงเที่ยง ผู้ร่วมก่อตั้ง อีวีพลาซ่า และ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ มีพร้อมท์ซีเลคทีฟ กล่าวว่า ในปัจจุบันการท่องเที่ยวแคมป์ปิ้ง – ทัวร์ริ่ง ในรูปแบบการเดินทางด้วยรถ EV กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากเป็นการเดินทางที่ประหยัดไร้มลพิษ อีวีพลาซ่าและพันธมิตรมีความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมรูปแบบนี้ และขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมสนับสนุน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  17 กันยายน 2567

ที่มา : amarintv.com (https://www.amarintv.com/spotlight/sustainability/detail/69231)

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญวิกฤตขยะล้นเมือง เราต่างตระหนักดีว่า “ขยะ” ไม่ใช่แค่ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่คือโอกาสทางธุรกิจที่รอการปลดล็อค! มาร่วมสำรวจเส้นทางสู่ความสำเร็จของธุรกิจยุคใหม่ ที่ไม่เพียงสร้างกำไร แต่ยังช่วยรักษาโลกใบนี้ ผ่านแนวคิด “อัพไซเคิล” ที่จะเปลี่ยน “ของเหลือใช้” ให้กลายเป็น “เงิน” และสร้าง “มูลค่า” ให้ธุรกิจอย่างยั่งยืน

วิธีเปลี่ยนขยะให้เป็นเงิน สร้างมูลค่าใหม่ให้ธุรกิจ

โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตขยะครั้งใหญ่ โดยมีปริมาณขยะเกิดขึ้นมากกว่า 2 พันล้านตันต่อปีทั่วโลก ประเทศไทยเองก็ประสบปัญหาเดียวกัน โดยมีปริมาณขยะสูงถึง 27 ล้านตันต่อปี อย่างไรก็ตาม มีเพียง 31% ของขยะเหล่านี้ที่ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลและอัพไซเคิล สถิติดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่เร่งด่วน แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญยิ่ง

จากปัญหาสู่โอกาส ธุรกิจยุคใหม่กับการรีไซเคิลและอัพไซเคิล

แม้ปัญหาขยะล้นโลกจะเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่การเปลี่ยนขยะให้เป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าสูงผ่านกระบวนการรีไซเคิลและอัพไซเคิลได้กลายเป็นทางออกที่ยั่งยืน ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจในยุคปัจจุบัน

เทคโนโลยี ปัจจัยขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ การนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาประยุกต์ใช้ในการรีไซเคิลและอัพไซเคิลกำลังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ สำหรับธุรกิจยุคใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดแยกขยะ โดยสามารถระบุประเภทวัสดุได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มอัตราการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้ การพัฒนาวัสดุใหม่จากขยะพลาสติกยังช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่ยากต่อการย่อยสลายในธรรมชาติ และสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติที่เหนือกว่า ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน

4 แนวทางปรับตัวเพื่อความยั่งยืน ธุรกิจก้าวสู่อนาคตผ่านการรีไซเคิลและอัพไซเคิล

ในยุคที่การเติบโตทางเศรษฐกิจต้องดำเนินไปควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การดำเนินธุรกิจทุกภาคส่วนล้วนส่งผลกระทบต่อโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนกำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก ภาคธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับตัวและแสวงหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อก้าวสู่เส้นทางแห่งความยั่งยืนอย่างจริงจัง

1. นวัตกรรมเพื่อการผลิตที่ยั่งยืน

2. พลังงานจากขยะ

3. สร้างแบรนด์ที่ยั่งยืน

4. ลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว

การปรับตัวเพื่อความยั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่กระแส แต่เป็นความจำเป็นสำหรับธุรกิจในยุคปัจจุบัน การรีไซเคิล อัพไซเคิล การใช้พลังงานจากขยะ การสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืน และการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่ภาคธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้เพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนได้


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  16 กันยายน 2567

ที่มา https://www.thaipost.net/columnist-people/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%81-news/656390/

ในยุคที่โครงสร้างพื้นฐาน เริ่มเสื่อมสภาพตามระยะเวลาการใช้งาน และวงการก่อสร้างถนนถูกท้าทายด้วยประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Kao ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและเคมีภัณฑ์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น จึงได้คิดค้น “NEWTLAC” นวัตกรรมล้ำสมัยที่เป็นการผสมผสานระหว่างพอลิเมอร์ชนิดพิเศษ นำมาผสมกับยางมะตอยเพื่อใช้ในการสร้างถนนอย่างเป็นรูปธรรม ที่ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาขยะ แต่ยังสร้างถนนที่แข็งแรงทนทานยิ่งกว่าเดิม พร้อมปฏิวัติวงการก่อสร้างถนนในประเทศไทย โดยนำร่องที่ถนนในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร 

การพัฒนาดังกล่าวไม่เพียงเป็นนวัตกรรมที่จะปฏิวัติวงการก่อสร้างถนนเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ระยะยาวของบริษัทในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดย บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด มีเป้าหมายสู่ความยั่งยืนในปี 2583 เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน ด้วยการตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จนเป็นศูนย์ และบรรลุเป้าหมายให้ขยะที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ที่ทำด้วยพลาสติกเป็นศูนย์ กล่าวคือ ปริมาณพลาสติกที่ใช้ต้องเท่ากับปริมาณพลาสติกที่ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ หรือถูกนำมารีไซเคิล ดังนั้น NEWTLAC จึงเป็นตัวอย่างความสำเร็จที่สอดคล้องกับเป้าหมายนี้อย่างชัดเจนในการสร้างนวัตกรรมนำขวดพลาสติก PET ที่ใช้แล้วมาใช้ในการสร้างถนน ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่จะถูกทิ้งกลับสู่สิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ และการสร้างสังคมที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต


NBT CONNEXT  15 กันยายน 2567

พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ประชุมเตรียมการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในเขตเทศบาลตำบลแม่สายและเทศบาลตำบลแม่สายมิตรภาพ หลังจากพื้นที่ดังกล่าวปริมาณน้ำเริ่มลดลงแล้ว โดยนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายโกเมศ พุทธสอน ผอ.สบอ.11 (พิษณุโลก) นายพุทธพจน์ คูประสิทธิ์ ผอ.สบอ. 15 (เชียงราย) ร่วมประชุม ซึ่งที่ประชุมมอบหมายให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ รับผิดชอบฟื้นฟูพื้นที่ชุมชนหัวฝาย-สายลมจอย กิจกรรมกู้คืนแหล่งผลิตน้ำประปาหัวฝาย 

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายอรรถพล อธิบดีกรมอุทยานฯ พร้อมด้วยพล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติภารกิจฟื้นฟูทำความสะอาด ล้างดินโคลนที่บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองแม่สาย ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าน้ำปาด เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน

สถานีควบคุมไฟป่าดอยตุงฯ สถานีควบคุมไฟป่าดอยแม่สลอง เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ 5 สปป.3(ภาคเหนือ) เจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) เจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 (พิษณุโลก) เจ้าหน้าที่สวนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร สบอ.11 เจ้าหน้าที่ด่านตรวจแม่สาย เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) ที่ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนหลังน้ำลด ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญอีกประการหนึ่งในการบรรเทาความเดือดให้ประชาชนชาวอำเภอแม่สาย จ.เชียงราย


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  14 กันยายน 2567

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ (https://www.bangkokbiznews.com/tech/1144324)

การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในภาคเอกชนและภาครัฐ ได้เปิดยุคใหม่ของการเมืองเรื่องสิ่งแวดล้อมและพลังงาน ซึ่งทวีความรุนแรงจากการแย่งชิงทรัพยากรในการประมวลผล พัฒนาและปรับใช้ตัวแบบ AI ขั้นสูงหรือ Generative AI  ที่เชื่อมโยงกับการใช้พลังงานและน้ำอย่างสุดขีด

          เทคโนโลยี AI ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นรากฐานสำคัญของนวัตกรรมทางการทหาร การแข่งขันอิทธิพลของมหาอำนาจและการแย่งชิงพลังงาน (ไฟฟ้า) ไม่เพียงเป็นความพยายามเพื่อผลกำไร นวัตกรรมและความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี แต่ยังเกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญกับความมั่นคงแห่งชาติ ความต้องการใช้พลังงานอย่างเข้มข้นของ Generative AI เชื่อมโยงกับความต้องการใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูล (data center) บริการระบบคอมพิวเตอร์แบบเครือข่ายออนไลน์ (cloud service) และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก (chips) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น การสืบค้นข้อมูลบน ChatGPT อาจใช้พลังงานมากกว่าการสืบค้นจาก Google ถึง 25 เท่า

วงจรชีวิตการสร้างตัวแบบ AI มีขั้นตอนที่กระทบสิ่งแวดล้อมมากที่สุด คือ การฝึกตัวแบบการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) โดยอัลกอริธึมเรียนรู้ข้อมูลการฝึกเพื่อคาดการณ์และหรือตัดสินใจด้วยการอนุมาน (inference) ข้อสรุปที่ได้มาจากความรู้และความเข้าใจ รองศาสตราจารย์ Mosharaf Chowdhury แห่งภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยมิชิแกน ระบุว่า การฝึกตัวแบบ GPT-3 หนึ่งรอบใช้พลังงานไฟฟ้า 1,287 MWh ซึ่งเพียงพอสำหรับใช้ในครัวเรือนทั่วไปของสหรัฐฯ เป็นเวลา 120 ปี ขณะที่ World Economic Forum ระบุว่าขั้นตอนการอนุมานของตัวแบบ AI มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมถึงร้อยละ 80 ส่วนขั้นตอนการฝึกกระทบร้อยละ 20

Petr Spelda และ Vit Stritecky แห่งมหาวิทยาลัย Charles ได้ศึกษาวิจัยต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมของการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับ AI พบว่า ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ที่จำเป็นสำหรับการประมวลผล ML เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ 3-4 เดือนตั้งแต่ปี 2012 การประมวลผลในปัจจุบันใช้เวลาหลายร้อยเพตาฟลอป/วินาที  ตัวแบบ ML ถูกปรับให้มีความแม่นยำเกินกว่าที่จำเป็น ส่งผลให้การดำเนินการไม่มีประสิทธิภาพและเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

ขณะที่ Rene Haas ผู้บริหารบริษัท Arm เตือนว่าภายในสิ้นทศวรรษนี้ ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้พลังงานไฟฟ้า ร้อยละ 20 – 25 ของความต้องการพลังงานของสหรัฐฯ ปัจจุบันความต้องการพลังงานอยู่ที่ร้อยละ 4 หรือ ต่ำกว่า

สหรัฐฯ เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับสองของโลกรองจากจีน ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นหากทั้งสองประเทศยังคงแข่งขันกันในด้านเทคโนโลยีและการทหาร ประเทศอื่นๆ ที่ใช้ไฟฟ้ามากที่สุด ได้แก่ รัสเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น บราซิล และเกาหลีใต้

ในปี 2022 กระทรวงกลาโหม (DoD) สหรัฐฯ ประเทศเดียวเป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุด โดยใช้พลังงานร้อยละ 76 ของการใช้พลังงานของรัฐบาลกลาง ระบบป้องกันประเทศของสหรัฐฯใช้ AI ประมวลผลต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ ยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติ ความปลอดภัยทางไซเบอร์และการดำเนินงานข่าวกรอง

สำหรับไทย การเติบโตของศูนย์ข้อมูลและ AI ยังคงเผชิญความท้าทายจากทรัพยากรพลังงานมีจำกัด ค่าไฟฟ้าสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านและที่ตั้งไม่โดดเด่นทางยุทธศาสตร์ คาดว่าความจุของศูนย์ข้อมูลในอาเซียนจะเพิ่มขึ้น 9 เท่าภายในปี 2035 นำโดยมาเลเซียและอินโดนีเซีย ส่วนแบ่งตลาดของไทยจะลดลงเล็กน้อย ทั้งนี้มาเลเซียจะได้ประโยชน์จากอุปสงค์เพิ่มขึ้นของสิงคโปร์ที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่และการจัดหาพลังงานไม่เพียงพอ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  13 กันยายน 2567

ที่มา https://www.khaosod.co.th/politics/news_9407284

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยถึงนโยบายในการกำกับดูแลและบริหารงานว่า การขับเคลื่อนการทำงานของกระทรวง ทส. จะเน้นการขับเคลื่อน ภายใต้คำว่า ครอบครัว ที่เห็นอกเห็นใจ เข้าใจ ใส่ใจ ผิดพลาดแก้ไข ให้อภัยกัน มุ่งให้ข้าราชการในสังกัดทำงานอย่างมีความสุข และสนุกกับงานที่ทำ

จึงขอให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อกระทรวง เพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน นับจากนี้ไปจะเดินต่อไปพร้อมกัน ในการสงวน อนุรักษ์ ฟื้นฟู รักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของไทย และโลกอย่างยั่งยืนให้ได้


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  12 กันยายน 2567

ที่มา: https://siamrath.co.th/n/565484/

สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี สนับสนุนและส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ “การทำปุ๋ยมูลสัตว์และการทำจานจากใบไม้แห้ง” โดยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ได้มอบหมายให้ น.สพ.ชาตรี คูหเทพารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจัดการสัตว์ เป็นประธานเปิดกิจกรรม ณ ห้องประชุมวารีกุญชร สำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี

น.สพ.ชาตรี คูหเทพารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจัดการสัตว์ เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจสำคัญในการส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ช่วยเสริมสร้างจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อม และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ “การทำปุ๋ยมูลสัตว์และการทำจานจากใบไม้แห้ง” ซึ่งเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ได้เปิดโอกาสให้นักเรียนจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่ จำนวนกว่า 50 คน เข้าเรียนรู้การจัดทำปุ๋ยมูลสัตว์ และการทำจานจากใบไม้แห้ง เพื่อจะได้นำองค์ความรู้ดังกล่าวไปเผยแพร่และใช้ประโยชน์ต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  11 กันยายน 2567

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ (https://www.bangkokbiznews.com/environment/1144048)

มนุษย์สร้าง “มลพิษจากพลาสติก” ปีละ 57 ล้านตัน  และแพร่กระจายไปทั่วโลก จากมหาสมุทรที่ลึกที่สุดไปยังยอดเขาที่สูงที่สุด แม้แต่ร่างกายของผู้คนเองก็ยังมีพลาสติกปนเปื้อนอยู่ โดยข้อมูลจากศึกษาวิจัยใหม่ ที่ระบุว่ามากกว่าสองในสามมาจาก “กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา”

ผู้คนทั่วโลกราว 1,500 ล้านคน อยู่ในประเทศที่ไม่มีบริการจัดเก็บขยะ และวิธีการกำจัดขยะพลาสติก ที่ไม่ถูกวิธีของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการทิ้งตามข้างทาง ทิ้งลงในแหล่งน้ำ หรือเผาขยะที่ไม่ถูกวิธี ได้ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรง

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลีดส์ ในสหราชอาณาจักร ตรวจสอบขยะพลาสติกที่ถูกทิ้งตามข้างทาง หรือพื้นที่เปิดโล่ง ไม่ได้กำจัดอย่างถูกวิธี เช่น การฝังกลบหรือเผา ในแต่ละท้องถิ่นจากกว่า 50,000 เมืองทั่วโลก พบว่า รัฐบาลส่วนใหญ่ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และแอฟริกาใต้สะฮารา ล้มเหลวในการเก็บรวบรวม และกำจัดขยะ

คอสตาส เวลิส ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมจากลีดส์ ผู้เขียนรายงาน ประเมินว่า ขยะพลาสติก 52.1 ล้านตัน หรือประมาณ 1 ใน 5 ของขยะพลาสติกทั้งหมดทั่วโลกกลายเป็นมลพิษทุกปี โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศยากจน ซึ่งไม่มีการจัดการขยะที่เหมาะสม ขยะพลาสติกส่วนใหญ่กลับถูกเผาในบ้าน บนถนน หรือ ในหลุมฝังกลบขนาดเล็ก โดยไม่มีการควบคุมสิ่งแวดล้อมใด ๆ

เมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย ครองตำแหน่งเมืองที่สร้างมลพิษจากพลาสติกมากที่สุด  ส่วนอันดับท็อป 5 ที่เหลือ ประกอบไปด้วย นิวเดลี ประเทศอินเดีย, ลูอันดา ประเทศแองโกลา, การาจี ประเทศปากีสถาน และอัลกาฮิราห์ ประเทศอียิปต์ หากจะเทียบเป็นรายประเทศแล้ว พบว่า “อินเดีย” เป็นประเทศที่สร้างมลภาวะจากพลาสติกมากที่สุด โดยในแต่ละปีผลิตขยะ 10.2 ล้านตันต่อปี ซึ่งมากกว่าปริมาณขยะจากประเทศอันดับ 2 และ 3 อย่าง ไนจีเรีย และอินโดนีเซียถึง 2 เท่า ขณะที่จีน แม้จะก่อมลภาวะอยู่ในอันดับ 4 แต่ก็จัดการขยะ และลดการเกิดขยะลงได้อย่างดี ส่วนท็อป 8 ของประเทศที่ก่อมลภาวะจากพลาสติกอื่นๆ ได้แก่ ปากีสถาน บังกลาเทศ รัสเซีย และบราซิล ซึ่งจากข้อมูลของการศึกษาพบว่า 8 ประเทศนี้ได้สร้างมลภาวะจากพลาสติกมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกส่วนมลพิษจากขยะพลาสติกในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐ และอังกฤษ อยู่ในลำดับที่ 90 และ 135 ตามลำดับ

โดยทั่วไป ประเทศที่มีรายได้น้อยจะผลิตขยะพลาสติกต่อคนน้อยกว่ามาก แต่ขยะเหล่านั้นกลับก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่ามาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ในประเทศที่มีรายได้สูง ขยะส่วนใหญ่จะถูกรวบรวม และแปรรูป โดยการทิ้งเกลื่อนกลาดเป็นสาเหตุหลักของมลพิษจากพลาสติก

การศึกษายังพบว่า การเผาพลาสติกอย่างไม่ถูกวิธี ทำให้เกิดมลภาวะทางพลาสติกสูงถึง 57% อีก 43% มาจากการทิ้งขยะไม่เป็นที่ ซึ่งทั้งสองกรณีก่อให้เกิด ไมโครพลาสติก และนาโนพลาสติก ที่สามารถแพร่กระจายไปทั่ว ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งโลก นับเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อสุขภาพของมนุษย์ ดังที่เห็นจากงานวิจัยต่างๆที่พบไมโครพลาสติกมีอยู่ในร่างกายมนุษย์ เช่น หัวใจ สมอง และอัณฑะ แต่แพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าไมโครพลาสติกเหล่านี้ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างไร


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.