• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  9 ธันวาคม 2567

ที่มา https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4942870

ภาพความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ประมงชายฝั่ง ที่เคยมีปูและสัตว์น้ำชุกชุม บัดนี้กำลังเปลี่ยนไป เป็นผลจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากนโยบายการพัฒนาของหลายประเทศในโลก ที่เปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมสู่สังคมอุตสาหกรรมหรือการเกษตรที่มุ่งเน้นการผลิตที่มากเกินไป ปัญหาภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ประเทศไทยสูญเสียพื้นที่ทำการเกษตรตามแนวชายฝั่งเป็นจำนวนมากในช่วงตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ยังคงมีบทบาทช่วยปกป้องทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่ง ที่มีมูลค่ามหาศาล รวมไปถึงพื้นที่ให้มนุษย์อยู่อาศัย แต่นับวันจะเหลือน้อยเต็มที คือ “ป่าชายเลน” ด่านสำคัญในการช่วยป้องกันคลื่นสำหรับชุมชนตามแนวชายฝั่ง ทั้งยังเป็นแหล่งอนุบาลสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญด้านอาหาร สำหรับการบริโภคของชุมชนแนวชายฝั่งและประชากรในประเทศ

เพื่อที่จะพัฒนาแผนการอนุรักษ์ป่าชายเลนให้คงอยู่ต่อไป การทำความเข้าใจความหลากหลายทางพันธุกรรมของป่า จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและได้ร่วมมือกับบริษัท เอ็มจีไอ เทค จำกัด (“MGI”) บริษัทที่มีเป้าหมายในการพัฒนาเครื่องมือและเทคโนโลยีสำคัญที่ใช้ขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ นำเอาเทคโนโลยีการวิเคราะห์ลำดับสารพันธุกรรมประสิทธิภาพสูงมาปรับใช้สำหรับโครงการวิจัยเพื่ออนุรักษ์ป่าชายเลน

ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปไกล ประกอบกับความร่วมมือของพันธมิตรจากภาคส่วนต่าง ๆ ในการอนุรักษ์ป่าชายเลน อาจทำให้เราได้เห็นภาพความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ประมงชายฝั่งกลับคืนมาอีกครั้ง ซึ่งไม่เพียงช่วยรักษาระบบนิเวศ แต่ยังช่วยปกป้องวิถีชีวิตของชุมชนชายฝั่ง และความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทยได้อีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่เพียงหวังพึ่งเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่การที่ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของป่าชายเลน ก็เป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในการร่วมปกป้องป่าชายเลนได้


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  8 ธันวาคม 2567

ที่มา: https://www.thaigov.go.th/news/contents/ministry_details/91089

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 โดยมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม

โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีนโยบาย 2 เรื่องที่ขอแจ้งให้ที่ประชุมทราบได้แก่

1. รัฐบาลมีนโยบายที่มุ่งเน้นในเรื่องของการลงทุนในอุตสาหกรรมสีเขียวที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ให้สอดคล้องกับนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยรัฐบาลจะมุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตให้ใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

2.ผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในทุกมิติ และให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนายกระดับขีดความสามารถการผลิต ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการพัฒนาบุคคล ด้านการส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาระบบนิเวศ (Ecosystem) ให้เกิดความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลมุ่งเน้นที่จะช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการที่ทำอุตสาหกรรม และชิ้นส่วนที่เป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศไทย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าฯ และผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูงแห่งชาติต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  7 ธันวาคม 2567

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ (https://shorturl.asia/9Kd2c)

ไทยเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม 5 ประเทศ ที่ประเทศกัมพูชา ยกระดับการจัดการหมอกควันข้ามแดน ในอนุภูมิภาคแม่โขง ปี 2568 พร้อมเห็นชอบร่วมกันในการขยายเป้าหมายการลดจุด ความร้อนรายปี จนถึงปี 2573นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบหมายจากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ในการประชุมคณะกรรมการระดับรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม 5 ประเทศ เรื่อง มลพิษจากหมอกควันข้ามแดนในอนุภูมิภาคแม่โขง ครั้งที่ 13 (13th MSC Mekong)พร้อมด้วยกรมควบคุมมลพิษ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ กองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ เข้าประชุมร่วมกับกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม สํานักงานเลขาธิการอาเซียน และผู้แทนจากศูนย์เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยาเฉพาะทางอาเซียน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ทั้งนี้ ศูนย์เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยาอาเซียน ได้รายงานจำนวนจุดความร้อนรวมในอนุภูมิภูมิภาคแม่โขง ปี 2567 ซึ่งลดลงจากปี 2566 ประมาณ 12.5% และได้คาดการณ์ว่าสภาวะเป็นกลางและลานีญาในช่วงสั้น ๆ จะเกิดขึ้นในช่วงธันวาคม 2567-มีนาคม 2568 ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนอยู่ในระดับปกติจนถึงมากกว่าปกติในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ฤดูแล้งในช่วงกุมภาพันธ์ถึงเมษายน จะยังส่งผลให้เกิดปัญหาความแห้งแล้ง จึงต้องระวังปัญหาหมอกควันรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงดังกล่าวในการพิจารณาการตั้งเป้าหมายลดจุดความร้อนในอนุภูมิภาคแม่โขงภายใต้แผนปฏิบัติการเชียงราย (Chiang Rai 2017 Plan of Action) ประเทศไทยได้เสนอให้ที่ประชุมตั้งเป้าหมายลดจุดความร้อนเพิ่มในปี 2569-2573 เพื่อให้สอดคล้องกับโรดแมปอาเซียนปลอดหมอกควันฉบับที่ 2 ซึ่งตั้งเป้าหมายอาเซียนปลอดหมอกควันภายในปี 2573

โดยที่ประชุมเห็นชอบร่วมกันในการขยายเป้าหมายการลดจุดความร้อนรายปี จนถึงปี 2573 และจะพิจารณาตัวเลขเป้าหมายรายปีเพื่อเป็นเป้าหมายร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควัน ในอนุภูมิภาคแม่โขงให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในการประชุม 14th MSC Mekong ที่จะจัดขึ้นใน สปป. ลาว ในปี 2568ประเทศไทยยังคงให้การสนับสนุนการดำเนินงานจัดการปัญหามลพิษทางอากาศกับประเทศสมาชิก และมุ่งมั่นที่จะยกระดับความร่วมมือในอนุภูมิภาคแม่โขงและประเทศเพื่อนบ้านเพื่อการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้แผนปฎิบัติการเชียงรายในระดับอนุภูมิภาคแม่โขง และแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (2567-2573) สำหรับไทย-สปป.ลาว-เมียนมา เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในอนุภูมิภาคแม่โขง


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  6 ธันวาคม 2567

ที่มา https://www.tnnthailand.com/news/tech/182891/

บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมมือกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ภายใต้สังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าสานต่อกิจกรรม “Canon Volunteer ครั้งที่ 39 : Go For Green โดยมี มร. ฮิโรชิ โยโกตะ ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหาร นำทีมพนักงานอาสาสมัครและสมาชิกในครอบครัวรวม 48 คน ลงพื้นที่ทำหลากหลายกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งถือเป็นผืนป่าขนาดใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์​เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารที่สำคัญหลายสาย และเป็นบ้านหลังใหญ่ของสิ่งมีชีวิตที่หายากและใกล้สูญพันธุ์หลายชนิด รวมถึงนกมากกว่า 280 ชนิด

กิจกรรมฟื้นฟูระบบนิเวศในอุทยานแห่งนี้ จึงถือเป็นการช่วยอนุรักษ์พันธุ์นกท้องถิ่น นกหายาก และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา แคนนอน ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สายพันธุ์นกทั่วโลกผ่านโครงการ Canon Bird Branch Project ที่ริเริ่มโดยแคนนอน อิงค์ ประเทศญี่ปุ่นเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของนก ซึ่งเป็นโครงการที่เราได้นำมาสานต่อในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน เพื่อให้เมืองไทยเป็นบ้านที่อุดมสมบูรณ์ให้พันธุ์นกท้องถิ่นต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  5 ธันวาคม 2567

ที่มา : The Bangkokinsight (https://www.thebangkokinsight.com/news/videos/1420828/)

“ไทย” เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และ “พื้นที่ชุ่มน้ำ” นับเป็นหนึ่งในระบบนิเวศที่สำคัญยิ่ง ที่มีบทบาทสำคัญต่อความสมดุลของระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์นานานาชนิด ทั้งพืชน้ำ สัตว์น่า นกนำ และสัตว์เลื่อยคลาน หลายชนิดเป็นพันธุ์เฉพาะถิ่นและใกล้สูญพันธุ์ การอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำจึงช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ

พื้นที่ชุ่มน้ำทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บกักน้ำ ช่วยลดความรุนแรงของน้ำท่วม และช่วยรักษาสมดุลของน้ำในน้ำในระบบนิเวศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน พื้นที่ชุ่มน้ำจะช่วยดูดซับน้ำส่วนเกิน ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรมและชุมชน

พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแหล่งอาหารสำคัญ ทั้งปลา กัง หอย และพืชน้ำ ที่ใช้ในการบริโภคและจำหน่าย สร้างรายได้ให้กับชุมชนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง เช่น การทำประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการเก็บเกี่ยวพืชน้ำ

พื้นที่ชุ่มน้ำทำหน้าที่กรองน้ำเสีย ช่วยลดสารมลพิษ และปรับปรุงคุณภาพน้ำ ก่อนที่จะไหลลงสู่แหล่งน้ำส่งน้ำอื่นๆ ช่วยรักษาความสะอาดของแหล่งน้ำ และป้องกันมลพิษทางน้ำ

พื้นที่ชุ่มน้ำที่สวยงามและอดมสมบูรณ์ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ สร้างรายได้ให้กับชุมชน และส่งเสริมการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน

สามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่า พื้นที่ชุ่มน้ำนั้นมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทย การอนุรักษ์จึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และความสมดุลของระบบนิเวศ ซึ่งต้องบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ และฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  4 ธันวาคม 2567

ที่มา: https://www.sanook.com/money/931715/

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เตรียมจัดกิจกรรมเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมไทยและวันอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านแห่งชาติ ประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด “Impact – Driven Policy: Empowering Action for Change รวมพลังลดโลกเดือด: เปลี่ยนเรา เปลี่ยนโลก” พร้อมเปิดเวทีสรุปผล COP29 ยกระดับการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมไทย สู่การแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลก ในวันพุธที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร โดยได้รับเกียรติจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการ ทส. เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ฯ และกล่าวรายงานโดยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส.

กิจกรรมสำคัญในครั้งนี้ จะมีการนำเสนอ “สรุปผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (COP29) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง” เมื่อวันที่ 11 – 22 พฤศจิกายน 2567 ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน โดยอธิบดี สส. นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาที่น่าสนใจ ประกอบด้วย การเสวนาในหัวข้อ “Impact – Driven Policy: Empowering Action for Change รวมพลังลดโลกเดือด: เปลี่ยนเรา เปลี่ยนโลก” โดยผู้แทนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและเยาวชน และการเสวนา “สาระสำคัญจาก COP29 สู่การดำเนินงานของประเทศไทย” โดยผู้แทนจากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) อีกทั้ง การจัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้สาระสำคัญจากการประชุม COP29

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมผ่านการถ่ายทอดสดได้ทาง Facebook กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม


NBT CONNEXT  3 ธันวาคม 2567

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย  (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปภ.ร่วมกับ สทนช. กรมอุตุนิยมวิทยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำแบบจำลองและโมเดล คาดการณ์ปริมาณน้ำฝนล่วงหน้า พบว่า ตั้งแต่วันนี้ (3 ธ.ค.)  ถึงวันที่ 5 ธันวาคมนี้ บริเวณพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน จะเกิดฝนตกหนักน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำท่วมขัง  โดยเฉพาะพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้สงขลา ยะลา นราธิวาส และปัตตานี จะเกิดฝนตกหนักมากกว่าพื้นที่อื่น ซึ่งก่อนหน้านี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประกาศแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ทั้ง 14 จังหวัด ให้เตรียมความพร้อมรับมือกับฝนที่จะตกลงมาอีกครั้ง แม้จะไม่หนักเท่ากับช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 660,000 ครัวเรือน 

ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยต้องการให้ประชาชนได้รับการแจ้งเตือนโดยเร็วที่สุด เบื้องต้นในแต่ละจังหวัดมีแผนเผชิญเหตุตั้งแต่การแจ้งเตือนประชาชนไปจนถึงการอพยพ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ควบคู่การรักษาความสงบเรียบร้อยของเจ้าหน้าที่ระหว่างอพยพประชาชนออกจากบ้านเรือน จึงขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำเตือนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด 

อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ปภ. ได้สนับสนุนเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ เรือท้องแบน เครื่องสูบน้ำ รถบรรทุก ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ระยะไกล หรือเครื่องยนต์เรือ พร้อมอุปกรณ์ ได้กระจายไปในพื้นที่ประสบอุทกภัยให้มากที่สุด  สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในภาคเหนือกับภาคใต้มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยภาคเหนือได้รับผลกระทบจากฝนพัดพาดินโคลนจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านสู่ประเทศไทย จึงมีปริมาณดินโคลนมาก ขณะที่ภาคใต้เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำได้รับผลกระทบจากน้ำฝน น้ำทะเลหนุน ภาคใต้อยู่ใกล้ทะเล การระบายน้ำได้เร็ว หากไม่เกิดฝนตกสะสม ภายใน 3-5 วัน สถานการณ์น้ำท่วมจะเริ่มคลี่คลายแต่ความเสียหายไม่ต่างกัน เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ฝนตกหนักมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งทำให้มีโอกาสน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำล้นตลิ่ง


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  2 ธันวาคม 2567

ที่มา: https://siamrath.co.th/n/583247

นายอนุลักษณ์ ถนอมสิทธิกุล ผู้จัดการสมาคมเพื่อนชุมชน เปิดเผยว่า สมาคมเพื่อนชุมชน ร่วมกับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดสัมมนา “เครือข่ายเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมเชิงรุกในพื้นที่มาบตาพุดคอมเพล็กซ์” จังหวัดระยอง เพื่อพัฒนาความร่วมมือ และยกระดับศักยภาพในการเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้กับสมาชิกเครือข่ายทั้ง 7 โซน มีส่วนร่วมในการดูแลพื้นที่ของตนเอง โดยเสริมองค์ความรู้ สร้างความตระหนักปัญหาสิ่งแวดล้อม สร้างความร่วมมือร่วมใจในการเฝ้าระวังขึ้นระหว่าง ผู้ประกอบการชุมชน หน่วยงานภาครัฐ สามารถหามาตรการจัดการประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม

นายฉกาจ พัฒนศรี ผู้อำนวยการสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด (สนพ.) ประธานในพิธี กล่าวว่า การสัมมนา เครือข่ายเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมเชิงรุกในมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ เกิดจากความร่วมมือระหว่าง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ร่วมกับ สมาคมเพื่อนชุมชน ซึ่งได้ตระหนักและเล็งเห็นความสำคัญในการยกระดับการเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมร่วมกันระหว่าง ภาครัฐที่กำกับดูแลในพื้นที่ ผู้ประกอบการ และชุมชน ปัจจุบันการส่งเสริมสร้างศักยภาพในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เห็นภาพได้อย่างชัดเจน จากการพัฒนาเครือข่ายเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมเชิงรุกในการดูแลสิ่งแวดล้อม ชุมชนและโรงเรียน ในพื้นที่เทศบาลเมืองมาบตาพุด และพื้นที่เทศบาลตำบลบ้านฉาง ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นของการอยู่ร่วมกันของทุกภาคส่วนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ สมาคมเพื่อนชุมชน ยังมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเกิดขึ้น เป็นการเตรียมความพร้อมป้องกันการเกิดเหตุไม่คาดคิด หรือเหตุจากภัยธรรมชาติต่าง ๆ เพื่อลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยรอบ รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจในแนวทางการปฏิบัติงานเชิงรุก เพื่อรับมืออย่างทันท่วงทีของผู้ประกอบการและชุมชนที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน


© 2025 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.