• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  5 เมษายน 2567

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์  (https://www.thairath.co.th/video/news/topnews/hotclip/785098)

เจ้า “เรือพลังดูด” หรือที่เรียกว่า Interceptor 019 เป็นเรือดักเก็บขยะจากแม่น้ำไม่ให้ไหลลงสู่ท้องทะเล ลำที่ 19 ของโลก เพิ่งนำมาติดตั้งอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา ถนนพระราม 3 เขตบางคอแหลมไปเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยเครื่องจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จากแผงโซลาร์เซลล์และทำงานด้วยระบบอัตโนมัติตลอด 24 ชั่วโมง เครื่องนี้จะทำหน้าที่เป็นเครื่องดักขยะที่ช่วยลดปริมาณขยะจากแม่น้ำก่อนที่จะไหลลงสู่มหาสมุทร


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  4 เมษายน 2567

ที่มา https://www.thansettakij.com/sustainable/zero-carbon/592502

ครม.เห็นชอบในหลักการร่างประกาศ กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในหลายบริเวณท้องที่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ดูแลเสริมภาพลักษณ์รับการท่องเที่ยว

ร่างประกาศกระทรวงดังกล่าวเป็นการปรับปรุงจากประกาศฉบับเดิม เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน และให้การอนุรักษ์คุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และน่านน้ำ ให้มีความต่อเนื่องป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบอันเกิดมาจากการขยายตัวของชุมชน และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงรักษาทัศนียภาพอันเป็นลักษณะเฉพาะพื้นที่ไว้ ควบคู่กับการเสริมภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวที่จะก่อให้เกิดรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน ซึ่งประกาศกระทรวงฯ ฉบับเดิมนั้นจะสิ้นสุดอายุการใช้บังคับในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  3 เมษายน 2567

ที่มา: https://www.thaipr.net/general/3460216

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล แถลงข่าวการจัดงานวันน้ำบาดาลแห่งชาติ (National Groundwater Day) ประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด “สืบสานพระราชปณิธาน รักษ์น้ำบาดาล ต่อยอดความยั่งยืน” พร้อมจัดสัมมนาเสริมองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำบาดาล และมอบรางวัลเครือข่ายน้ำบาดาลดีเด่น ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 2 – 3 เมษายน 2567 ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร

นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กล่าวว่า สืบเนื่องจากวันที่ 3 เมษายน 2565 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงเปิดโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่บ้านปากชัดหนองบัว หมู่ที่ 2 ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ต่อมากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ  และสิ่งแวดล้อม ได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อกำหนดเป็นวันน้ำบาดาลแห่งชาติ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันอังคารที่ 21 มิถุนายน 2565 ให้วันที่ 3 เมษายนของทุกปี เป็น “วันน้ำบาดาลแห่งชาติ” (National Groundwater Day) ซึ่งเป็นการกำหนดวันในเชิงสัญลักษณ์ เพื่อใช้ในการรณรงค์ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนได้น้อมรำลึกและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์กับการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำบาดาล และร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานในการร่วมกันดูแล รักษา ปกป้องทรัพยากรน้ำบาดาลให้เกิดความยั่งยืน

อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กล่าวเพิ่มเติมว่า งานวันน้ำบาดาลแห่งชาติ ประจำปี 2567 นี้ จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ภายใต้แนวคิด “สืบสานพระราชปณิธาน รักษ์น้ำบาดาล ต่อยอดความยั่งยืน” มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงประโยชน์ของน้ำบาดาล และใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์น้ำให้น้ำบาดาลอยู่คู่กับคนไทยตลอดไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  2 เมษายน 2567

ที่มา : MGR Online (https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9670000028387)

         องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) ร่วมกับ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) และ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) ได้จัดงาน TBCSD : Business for Biodiversity การสร้างเครือข่ายภาคธุรกิจเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการ และคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนให้กับองค์กรภาคธุรกิจไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินงานที่ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึง บทบาทขององค์กรภาคธุรกิจไทยในการร่วมขับเคลื่อนประเด็นธุรกิจเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ (Business for Biodiversity) โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) และเลขาธิการองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน กล่าวว่า “ปัจจุบันองค์กรภาคธุรกิจได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในมิติต่างๆ และสนับสนุนภาครัฐในการขับเคลื่อนนโยบายด้านต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ วาระแห่งชาติ BCG Economy Model และการมุ่งไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนหรือ Carbon Neutrality และ Net Zero GHG Emission ในอนาคต ซึ่งหลายโครงการได้เกิดผลการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถผลักดันจนเกิดการขับเคลื่อนตอบสนองนโยบายของประเทศให้ก้าวไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำและการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้ง การมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของประเทศ ได้แก่ PM2.5 ขยะพลาสติก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น โดยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate..Change)..เป็นประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบหลากหลายรูปแบบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประเด็นปัญหาสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นตามมา คือ วิกฤตการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity..Loss) นับเป็น 1 ใน 3 วิกฤตฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมของโลกควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหามลภาวะ ซึ่ง “ความหลากหลายทางชีวภาพ” (Biodiversity) นับว่าเป็น “ต้นทุนทางเศรษฐกิจ” ที่มีความสำคัญอย่างมากและต้องได้รับการดูแล ฟื้นฟู อนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน แต่เมื่อเราทราบว่าในอนาคตจะเกิดวิกฤตการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพขึ้นนั้น องค์กรภาคธุรกิจไทยควรที่จะต้องเริ่มนำแนวคิดเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพเข้าไปผนวกอยู่ในแผนการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมอันเป็นกุญแจสำคัญสู่ระบบนิเวศที่ยั่งยืน เพื่อเป็นการสร้างโอกาสในการแข่งขันในอนาคต ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการรูปแบบใหม่ๆ รวมถึง การเข้าถึงกลไกการเงินเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ อีกด้วย”


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  1 เมษายน 2567

ที่มา https://www.springnews.co.th/keep-the-world/sustainable/849097

“ยูเอ็น” เผยข้อมูล ในแต่ละปีโลกมี “ขยะอาหาร” สูงกว่า 1,000 เมตริกตัน โดยเกิดมาจากการผลิตอาหารมากเกินความจำเป็น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด “ก๊าซเรือนกระจก” ด้านธุรกิจไทยเร่งลดขยะประเภทนี้

ปัญหาขยะ ‘ขยะอาหาร’ ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของโลก โดยเฉพาะประเทศไทยแม้ว่าจะมีภาคธุรกิจที่พยายามลดปัญหาขยะประเภทนี้ โดยล่าสุด โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เผยแพร่รายงานดัชนีขยะอาหารระบุ ปี 2565 ทั่วโลกมี “ขยะอาหาร” (Food Waste) สูงถึง 1,050 เมตริกตัน

โดยนักวิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากครัวเรือน ร้านอาหาร และร้านค้าปลีกในแต่ละประเทศทั่วโลก ทำให้พบว่าในแต่ละปีผู้คนสร้าง “ขยะอาหาร” คนละประมาณ 79 กิโลกรัม เท่ากับว่ามีอาหารอย่างน้อย 1,000 ล้านจานถูกทิ้งในแต่ละวันซึ่งเป็นการประเมินขั้นต่ำ ในความเป็นจริงตัวเลขอาจจะมากกว่านี้

ทั้งนี้ขยะอาหาร 60% มาจากการบริโภคในครัวเรือน อีก 28% มาจากร้านอาหารหรือผู้ให้บริการด้านอาหารและเครื่องดื่ม ส่วน 12% ที่เหลือมาจากร้านค้าปลีก ทั้งนี้ตัวเลขนี้ยังไม่รวมขยะอาหารอีก 13% ที่เน่าเสียหรือสูญเสียไประหว่างขั้นตอนการเก็บเกี่ยว หรือการผลิต

อย่างไรก็ตามขยะอาหารกลายเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่การสูญเสียทรัพยากรทั้งน้ำและที่ดินในการปลูกพืชอาหารและเลี้ยงสัตว์ โดยพื้นที่ป่าส่วนใหญ่ถูกบุกรุกเพื่อทำการเกษตรกรรม แต่ดูเหมือนว่าพื้นที่ป่าที่เสียไปจะไม่ได้ถูกใช้อย่างเกิดประโยชน์มากเท่าที่ควร เพราะในรายงานระบุว่า ขยะอาหารมีพื้นที่เกือบเท่ากับ 30% ของพื้นที่เกษตรกรรมของโลก


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  31 มีนาคม 2567

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/sustainable/2774247

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เผยว่า ในปีนี้กรมประมงยังคงใช้มาตรการปิดอ่าวฝั่งทะเลอันดามัน ตามประกาศกรมประมง เรื่อง กำหนดพื้นที่และระยะเวลาฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวในที่จับสัตว์น้ำบางส่วนของจังหวัด พังงา กระบี่ และตรัง ลงวันที่ 22 มีนาคม 2561 โดยครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ตั้งแต่ปลายแหลมพันวา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ถึงปลายแหลมหยงสตาร์ อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2567

เนื่องจากผลการประเมินทางวิชาการในปีที่ผ่านมา พบว่าสัตว์น้ำเศรษฐกิจส่วนใหญ่มีความสมบูรณ์เพศสูงถึงเกือบร้อยละ 100 พร้อมที่จะผสมพันธุ์วางไข่ และพบสัตว์น้ำวัยอ่อนมีความชุกชุมและหนาแน่นสูง โดยเฉพาะช่วงเดือนมิถุนายนที่มีความหนาแน่นสูงถึง 5,161 ตัว/1,000 ลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ ยังพบว่าอัตราการจับสัตว์น้ำรวมจากเรือสำรวจประมงในช่วงมาตรการเพิ่มขึ้น 2.3 เท่า และหลังมาตรการเพิ่มขึ้นถึง 6.6 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนมาตรการ (ก่อนมาตรการ 48 กิโลกรัม/ชั่วโมง ระหว่างมาตรการ 110 กิโลกรัม/ชั่วโมง และหลังมาตรการ 317 กิโลกรัม/ชั่วโมง: ข้อมูล ณ วันที่ 28 มีนาคม 2567) รวมถึง สถิติผลการจับสัตว์น้ำของเรือประมงพาณิชย์และเรือประมงพื้นบ้านทางฝั่งทะเลอันดามัน (เขต 6 และ 7) ในปี 2567 มีปริมาณมากถึง 326,998 ตัน จึงเป็นการยืนยันได้ว่ามาตรการฯ ที่ใช้มีความถูกต้อง เหมาะสม และสอดคล้องกับฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ ทั้งในด้านพื้นที่ ช่วงเวลา และเครื่องมือที่มีการประกาศใช้มาตรการฯ

สำหรับงานในวันนี้ มีการประกอบพิธีบวงสรวงพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลในการประกาศใช้มาตรการฯ และปล่อยเรือตรวจประมงทะเลออกปฏิบัติงาน จำนวน 13 ลำ และยังมีการมอบแผ่นป้ายเงินอุดหนุนโครงการสร้างความเข้มแข็งกลุ่มการผลิตด้านประมง (กิจกรรมพัฒนาอาชีพชุมชนประมง) ประจำปี 2567 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอาชีพและฟื้นฟูทรัพยากรประมงให้แก่ชุมชนประมงท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการนำเสนอข้อมูลความรู้ทางการประมงในหัวข้อต่างๆ มากมาย อาทิ นิทรรศการนำเสนอมาตรการบริหารจัดการทรัพยากรฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อนพื้นที่ทะเลอันดามัน การเพาะพันธุ์ปลาการ์ตูน การเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นนวัตกรรมใหม่จากเกษตรกรกลุ่มเหนือคลอง ขยะทะเลคืนฝั่ง ฯลฯ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  30 มีนาคม 2567

ที่มา : Thairath (https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2774229)

UNDP ชวนทุกคนคิดถึงสภาพอากาศในปี 2050 หรืออีก 26 ปีข้างหน้า ผ่านแคมเปญ Weather Kids นักพยากรณ์อากาศเยาวชน เร่งการเปลี่ยนแปลงก่อนโลกจะเดือดไปกว่านี้ วันที่ 28 มีนาคม 2567 มีรายงานว่า ใครที่ได้รับชมการถ่ายทอดการพยากรณ์อากาศในวันนี้ อาจรู้สึกประหลาดใจกับการพยากรณ์อากาศฉบับพิเศษจากปี ค.ศ.2050 แม้นี่จะเหมือนกับรายการพยากรณ์อากาศทั่วๆ ไป แต่ความพิเศษคือ รายการนี้ถูกดำเนินรายการโดยนักพยากรณ์อากาศรุ่นจิ๋ว และเป็นการคาดการณ์ถึงสภาพอากาศที่ทุกคนจะตื่นมาเจอในปี ค.ศ.2050 หรือในอีก 26 ปีข้างหน้า หากโลกของเราไม่สามารถต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีกว่านี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ “Weather Kids” ที่จัดขึ้นโดย โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ร่วมกับองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) และ “The Weather Channel” แบรนด์ผู้บริโภคหลักของ “The Weather Company” ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากนักแสดงชื่อดังระดับโลก และเป็นทูตสันถวไมตรีของ UNDP อาทิ นักแสดงชื่อดังชาวมาเลเซีย มิเชล โหย่ว เจ้าของรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ คอนนี่ บริตตัน นักแสดงชาวอเมริกันผู้มากความสามารถ และ นิโคไล คอสเตอร์-วัลดาอู นักแสดงชายชาวเดนมาร์ก โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของ UNDP เพื่อส่งเสริมการตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลง และเรียกร้องให้คนทั่วโลกร่วมมือกันป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจังเพื่อคนรุ่นถัดไป โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งของรายการได้มีการเตือนผู้ชมว่า อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นจะสร้างผลกระทบที่รุนแรงต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ซึ่งมันเป็นปัญหาที่เรากำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน และจะส่งผลกระทบต่อผู้คน สภาพเศรษฐกิจโลก รวมถึงส่งผลต่อประชากรเด็ก 94% ของโลก ในด้านการมีเสถียรภาพด้านอาหาร และความเป็นไปได้ที่ผู้คนทั่วโลกต่างต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น คิดเป็นจำนวนรวมกว่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ “ทุกอย่างกำลังประสบสภาวะที่น่าสะพรึงกลัว เช่น โรงเรียนถูกยกเลิกการเรียนการสอนเพราะอากาศร้อนเกินไป ไฟป่าที่เผาทั้งเมืองราบเป็นหน้ากลอง และน้ำท่วมทำให้ทุกอย่างเปียกชื้นและเละเทะ” หนึ่งในพิธีกรรุ่นจิ๋วรายงานการพยากรณ์สิ้นสุดด้วยการเรียกร้องอันทรงพลังจากเด็กๆ “สำหรับพวกเรา สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การรายงานสภาพอากาศ แต่มันคืออนาคตของพวกเรา“ ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนทุกท่านร่วมลงนามให้คำปฏิญาณในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโดยการใช้จ่ายเงินกับสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมความยั่งยืน และตระหนักรู้ถึงทางออกของปัญหาสภาพภูมิอากาศ ในขณะเดียวกัน วิดีโอซีรีส์ใหม่เรื่อง “Climate Action Explained” ของ UNDP ที่บรรยายโดย นิโคไล คอสเตอร์-วัลดาอู ยังได้ยกตัวอย่างแนวทางการแก้ปัญหาในปัจจุบันที่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้อย่างเป็นรูปธรรม “แคมเปญ Weather Kids จะเป็นพลังเสียงที่ทรงพลังในการเตือนตัวเราถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้น หากเราไม่เริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างมีประสิทธิภาพ” อาคิม สไตเนอร์ ผู้บริหารของ UNDP กล่าว “ความล่าช้าในการรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะทำให้โลกเข้าสู่สภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของ ‘เด็กๆ ในวันนี้’ และรุ่นอนาคต อย่างไรก็ดี เราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ หากเราเร่งการเปลี่ยนแปลงให้เร็วขึ้นและขยายออกไปเป็นวงกว้าง ซึ่งรวมถึงการลดการผลิตคาร์บอนในเศรษฐกิจของเรา และสร้างการเข้าถึงพลังงานสะอาดสำหรับทุกคน การปกป้องและการฟื้นฟูธรรมชาติ และการผลักดันให้ชุมชนมีส่วนร่วมลงนามให้คำปฏิญาณการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศของพวกเขา”


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  29 มีนาคม 2567

ที่มา https://www.amarintv.com/news/detail/212004

ในปัจจุบันการสร้างความยั่งยืนเป็นประเด็นที่ภาคเอกชน ตื่นตัวและให้ความสำคัญมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนผ่านเกณฑ์ของฉลากสิ่งแวดล้อม ก็ยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากหลายสาเหตุ อาทิ การสร้างการรับรู้ที่ยังไม่ทั่วถึง การสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของฉลากสิ่งแวดล้อมยังไม่เพียงพอ รวมถึงข้อเสนอหรือแรงจูงใจในการสนับสนุนการใช้ฉลากสิ่งแวดล้อมยังไม่เอื้ออำนวยต่อภาคเอกชนเท่าที่ควร ดังนั้น สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ตอกย้ำการเป็นองค์กรชั้นนำด้านสิ่งแวดล้อม ที่น่าเชื่อถือและพึ่งพาได้ พร้อมขับเคลื่อนนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงรุก สู่การปฏิบัติร่วมกับภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ด้วยหลักธรรมาภิบาล จึงเดินหน้าเปิดเวทีเสวนา ในหัวข้อ “มารักษ์กัน เพื่อการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนด้วยฉลากเขียว” 

“การแก้ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือสภาพภูมิอากาศไม่ใช่หน้าที่หลักของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่ประชากรของโลกจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันในทุกภาคส่วน ในฐานะสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย มีหน้าที่เผยแพร่ชุดข้อมูล สร้างการตระหนักรู้ โดยเฉพาะ “ฉลากเขียวและฉลากสิ่งแวดล้อม” ให้แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนในการทำความเข้าใจ ให้รับรู้ถึงความหมายที่แท้จริง เพื่อผลดีของการเลือกซื้อ เลือกใช้สินค้าและบริการที่มีฉลากเขียวกำกับ”

 อย่างไรก็ดี การคาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม สภาพภูมิอากาศ อาจต้องใช้เวลา แต่ขณะนี้ทั่วโลกเริ่มตระหนักกันมากขึ้นแล้ว ทั้งการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์สันดาป เราแค่ต้องสื่อให้ทุกคนได้รับรู้ว่า การแก้ปัญหาในเรื่องนี้ไม่สามารถทำได้เพียงคนเดียว หรือองค์กรเดียว ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นหากทุกฝ่ายร่วมมือกัน เพราะเรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่งแต่เป็นเรื่องของคนทุกคน


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.