• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  3 มกราคม 2567

ที่มา : Thaipr (https://www.thaipr.net/general/3428372)

พื้นที่พรุ หรือป่าพรุ (Peatlands)..เป็นหนึ่งในพื้นที่ป่าที่สำคัญของโลก ที่แม้จะมีพื้นที่เพียงแค่ 3% ของโลกแต่มีความสามารถในการสะสมคาร์บอนมากกว่าผืนป่าทั้งโลกอย่างน้อย 2-3 เท่า โดยป่าพรุ 4.7% หรือประมาณ 150 ล้านไร่อยู่ในอาเซียน โดยประเทศที่มีป่าพรุมากที่สุดได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และปาปัวนิวกีนี สำหรับประเทศไทยป่าพรุจัดเป็นป่าที่มีความสำคัญและหายากโดยมีอยู่เพียง 400,000 ไร่เท่านั้น โดยป่าพรุสิรินธร (พรุโต๊ะแดง) จ.นราธิวาส เป็นป่าพรุขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศครอบคลุมพื้นที่ 193,556 ไร่ ที่ผ่านมาป่าพรุในอาเซียนเผชิญกับความท้าทายจากการถูกทำลายด้วยไฟป่า และการแผ้วพื้นที่ทางเพื่อทำการเกษตร โดยเมื่อปี 2558 ไฟป่าครั้งใหญ่ที่อินโดนีเซีย ได้เผาทำลายป่าพรุไปกว่า 16.25 ล้านไร่ แต่ความเสียหายที่เกิดจากแผ้วถางพื้นที่เพื่อปลูกปาล์มน้ำมันก็มีไม่น้อยกว่ากัน การจัดการให้เกษตรกรอยู่ร่วมกับป่าพรุอย่างยั่งยืนนั้นเป็นโมเดลที่น่าสนใจ องค์กร Perkumpulan Elang เป็นองค์กรภาคเอกชนของอินโดนีเซีย ที่มีบทบาทในการสร้างความตระหนักรู้ในการดูแลสิ่งแวดล้อมให้ชุมชนอยู่ร่วมกับป่าพรุอย่างยั่งยืน ได้เข้ามามีบทบาทในการผลักดันให้เกษตรกร ตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ปัญหาระดับนโยบายและวิถีชีวิตแบบทางเลือกผ่านแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน เช่น การทำการเกษตรบนพื้นที่พรุ (Paludiculture)..การปลูกพืชทางเลือก เช่น สับปะรด แตงโม มะเขือยาว พริกไทย และถั่วฝักยาว ที่ให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไม่น้อยกว่าการทำสวนปาล์มน้ำมัน

มูฮัมหมัด ยูซุฟ ประธานกลุ่มเกษตรกร Cemerlang Forest Farmers หมู่บ้านเดยัน (dayun) หนึ่งในเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการกับ Perkumpulan Elang จัดแสดงฟักทองขนาดใหญ่น้ำหนักกว่า 9 กิโลกรัมที่เก็บเกี่ยวจากได้ที่ดินเขาได้เปลี่ยนพื้นที่ป่าพรุขนาด 12.5 ไร่ ให้กลายเป็นโอเอซิสที่ปลูกพืชได้เจริญงอกงามให้ผลผลิตที่สูงขายได้ราคาดี ไม่ว่าจะเป็น ฟักทอง แตงโม มะเขือยาว มะเขือม่วง พริกไทย ควบคู่ไปกับการดูแลไม้ใหญ่ ในป่าพรุ เช่น สยาแดง สาคู ลำใยคริสตัล และยางพารา แสดงให้เห็นว่าการทำฟาร์มควบคู่กับป่าเป็นรูปการเกษตรแบบผสมผสาน ที่เกษตรกรสามารถทำการเกษตรควบคู่กับการดูแลผืนป่าอย่างยั่งยืน แทนที่จะแผ้วถางทำลายเพื่อทำสวนปาล์ม

ปัจจุบันพื้นที่ป่าพรุกว่า 131 ล้านไร่ในอินโดนีเซียกำลังเผชิญกับปัญหาการถูกทำลาย พื้นที่ประมณ 47 ล้านไร่ ถูกแผ้วถางเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันและสวนป่าอุตสาหกรรม (HTI)..ที่นำไปสู่ความเสียหายและความเสื่อมโทรมของดินและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และในจำนวนนี้มีพื้นที่มากกว่า 5% ที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วน เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน ความร่วมมือของ Perkumpulan  Elang  และเกษตรกรอย่าง มูฮัมหมัด ยูซุฟ และหน่วยงานภาครัฐ ในการทำฟาร์มในป่าพรุ ช่วยให้เกษตรกรให้หมู่บ้านเดยันลดการปลูกปาล์มน้ำมัน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และลดความเสี่ยงจากไฟป่าได้ในที่สุด เรื่องราวของมูฮัมหมัด ยูซุฟ เป็นความหวังในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่เผยให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปกป้องพื้นที่ป่าพรุของอินโดนีเซียและอาเซียน และศักยภาพของพื้นที่สำหรับการทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ด้วยการนำพืชผลทางเลือกและการประยุกต์แนวทางปฏิบัติทางการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรกรกลุ่มนี้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ควบคู่กับปกป้องระบบนิเวศน์ที่ละเอียดอ่อนของโลก ถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาพื้นที่ป่าพรุในอาเซียนและอินโดนีเซีย และเพื่อเสถียรภาพของสภาพภูมิอากาศโลกแล้ว


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  2 มกราคม 2567

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกตุ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า สถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีแนวโน้มสูงขึ้นหลายพื้นที่ โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 3 - 8 มกราคมนี้ เนื่องจากอัตราการระบายอากาศค่อนข้างต่ำและลมสงบ จึงเป็นสาเหตุให้ฝุ่นละอองขนาดเล็กสะสมได้ในระดับใกล้ผิวพื้น ประกอบกับ อิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล หากเกิดการเผาในที่โล่งจากพื้นที่ใกล้เคียงในทิศต้นลม อาจทำให้ฝุ่นละอองทวีความรุนแรงขึ้น เบื้องต้นได้ขอให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรอบเขตปริมณฑลกำกับดูแลกวดขันและเฝ้าระวังการเผาในที่โล่งที่อาจส่งผลกระทบในจังหวัดท้ายลมได้ ขณะเดียวกันพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะต้องกวดขันดูแลเช่นกันทั้งเรื่องการจราจร การตรวจวัดควันดำจากรถยนต์ดีเซล ฝุ่นจากเขตก่อสร้างและการระบายอากาศเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ คพ. ขอแนะนำให้ประชาชนเฝ้าระวังสุขภาพ ลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง หากมีอาการทางสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ พร้อมขอให้ติดตามสถานการณ์จากแอปพลิเคชัน Air4thai และแฟนเพจศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ เพื่อใช้ประกอบการวางแผนการดำรงชีวิต โดยเฉพาะกิจกรรมกลางแจ้ง


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  1 มกราคม 2567

ที่มา: https://mgronline.com/local/detail/9660000115988

รศ.ดร.อนันต์ ทองระอา อธิการบดี มทส. เป็นประธานเปิดการแถลงข่าว ผลงานวิจัยและนวัตกรรม “เครื่องต้นแบบลดควันมลพิษ PM 2.5 จากไอเสียรถยนต์ด้วยพลาสมาไอออน (Plasma ION)” โดยมีนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าร่วมชมสาธิตการทำงาน พร้อมผลักดันขยายผลสู่ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ และการขนส่ง หวังเป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหามลพิษทางอากาศ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลงานวิจัยและนวัตกรรมฝีมือคนไทย โดย รศ.ดร.ชาญชัย ทองโสภา อาจารย์ประจำสาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ มทส. และคณะนักวิจัย

รศ.ดร.ชาญชัย เปิดเผยว่า เครื่องต้นแบบลดควันมลพิษ PM 2.5 จากไอเสียรถยนต์ด้วยพลาสมาไอออน (Plasma ION)” ได้แนวคิดและพัฒนานวัตกรรมจากสภาพแวดล้อมทางอากาศในปัจจุบันเต็มไปด้วยมลพิษที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อมมากมาย โดยหลักการทำงานของเครื่องคือ การสร้างสนามไฟฟ้าสถิตที่มีขั้วไฟฟ้าที่แตกต่างกันขึ้นมา ระหว่างควันมลพิษ PM 2.5 จากไอเสียรถยนต์กับแผ่นเพลตโลหะ ทำให้ควันมลพิษ PM 2.5 ถูกดูดมาติดที่แผ่นเพลตโลหะทั้งนี้ จากการทดสอบค่าควันมลพิษ PM 2.5 ที่ปล่อยจากท่อไอเสียรถตู้ดีเซลขนาดเครื่องยนต์ 2,800 ซีซี อายุใช้งานประมาณ 5 ปี เมื่อติดเครื่องยนต์มีค่าอยู่ที่ประมาณ 2,200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เมื่อทำการเปิดเครื่องพลาสมาไอออน พบว่าค่าลดลงมาเหลือประมาณ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จากนั้นปิดเครื่องพลาสมาไอออน พบว่าค่าเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับเดิม และเมื่อดับเครื่องยนต์ ค่ากลับมาอยู่ที่ 0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แสดงผลได้ว่าเครื่องพลาสมาไอออนช่วยลดค่าควันมลพิษ PM 2.5 ที่ปล่อยออกมาจากท่อไอเสียรถยนต์ได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหามลภาวะทางอากาศที่รุนแรงมากขึ้นทุกปี นักวิจัย มทส. นำโดย รศ.ดร.ชาญชัย ได้มุ่งไปที่ต้นเหตุสำคัญของฝุ่น PM 2.5 ในเมืองใหญ่ นั่นคือการใช้รถยนต์ การเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านพลาสมาไอออน มาประยุกต์ใช้จนประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ สามารถผลิตเป็นเครื่องต้นแบบพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรมและผู้สนใจ เพื่อหวังเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหามลพิษของเมืองต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  31 ธันวาคม 2566

ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในยุคนี้มีความเข้าใจและล้วนตระหนักถึงความสำคัญนี้เป็นอย่างดี เราจะเห็นได้ว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หลายองค์กรได้มีการกำหนดนโยบายหรือกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมการลดการใช้พลังงานและเปลี่ยนมาใช้พลังงานทางเลือกที่ยั่งยืน รวมถึงการสร้างกิจกรรมให้ความรู้แก่บุคคลากรและประชาชนที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอดด้วยความสามารถของ “เทคโนโลยีเอไอและข้อมูล” ที่ถูกพัฒนาขึ้นและสามารถนำมาใช้งานได้ง่ายและแพร่หลายอย่างในทุกวันนี้ ทั้งความสามารถในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการเรียนรู้ที่รวดเร็ว การลดการทำงานที่ซ้ำๆ และเปลี่ยนทำงานให้อยู่ในรูปแบบอัตโนมัติที่แม่นยำ ทำให้เอไอถูกนำเข้ามาใช้งาน เสมือนเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญของทุกองค์กรในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการลดการใช้ทรัพยากรที่เกินความจำเป็น และแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น ตัวอย่างของบทบาทของเอไอและข้อมูลที่มีส่วนช่วยด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ 1. การบริหารจัดการพลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน อัลกอริทึ่มของเอไอช่วยให้เราสามารถจัดการและปรับการใช้พลังงานในอาคาร โรงงาน และสภาพแวดล้อมของเมืองให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ผ่านการวิเคราะห์รูปแบบการใช้งานและข้อมูลปริมาณการใช้พลังงานในช่วงอดีตที่ผ่านมา และคาดการณ์ปริมาณพลังงานที่จะใช้งานได้เหมาะสม ซึ่งจะเป็นการช่วยลดการผลิตและการใช้พลังงานที่เกินความจำเป็น นอกจากนี้ ยังช่วยให้เราเลือกใช้พลังงานหมุนเวียนจากทางเลือกอื่นๆ เช่น ลม น้ำ และแสงอาทิตย์ ซึ่งมีความผันผวนรุนแรงตามสภาพอากาศ ได้อย่างเหมาะสมและแม่นยำยิ่งขึ้น รวมไปถึงการต่อยอดในการลดปริมาณ Carbon Footprint 2. ช่วยพัฒนาความยั่งยืนทางการเกษตร ในภาคการเกษตร เอไอจะวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวกับรูปแบบสภาพอากาศ สภาพดิน คุณภาพของพืชผลที่ผ่านมา และแนะนำวิธีการและปริมาณการให้ดิน น้ำ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และสารเคมีได้อย่างเหมาะสมให้แก่เกษตรกร เพื่อปรับปรุงผลผลิตให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นรวมถึงลดการสูญเสียและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3. เพิ่มความปลอดภัยการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยธรรมชาติ เอไอสามารถเฝ้าระวังและตรวจจับสัญญาณความผิดปกติที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของภัยธรรมชาติ เช่น ไฟป่า น้ำท่วม ฝุ่น คลื่นสึนามื ผ่านอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ เช่น กล้องวงจรปิด หรือ เซ็นเซอร์ ที่ทำงานเฝ้าระวังให้เราได้ตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อเรารู้สัญญาณของภัยธรรมชาติได้เร็วขึ้น ก็ทำให้เราสามารถจัดการ แก้ไข เตรียมตัวรับมือปัญหาเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น และลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมหาศาล 4. การอนุรักษ์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ การผสานเครื่องมือเอไอให้ทำงานร่วมกับโดรน ทำให้การสำรวจระยะไกลในพื้นที่ขนาดใหญ่และการสร้างแบบจำลองทางสถิติตามระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์เป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้น จากข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ ทำให้เราสามารถตรวจสอบพื้นที่ป่าและระบบนิเวศ สร้างแผนที่ ระบุตำแหน่งที่อยู่และจำนวนประชากรของสัตว์ป่า นก และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนำมาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ คาดการณ์ภัยคุกคามที่จะส่งผลต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยีเอไอและข้อมูลจะช่วยลดการสูญเสียและการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น รวมถึงยังสามารถช่วยในการวางแผนและการบริหารสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนในระยะยาว ด้วยเหตุนี้ การให้ความสำคัญในการเปิดรับและการทำงานร่วมกันกับข้อมูลและเทคโนโลยีเอไอ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาและสร้างสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  30 ธันวาคม 2566

ที่มา : https://www.technologychaoban.com/bullet-news-today/article_264700

แผ่นผนังปลูกต้นไม้แนวตั้งจากขยะ ในงานภูมิทัศน์ Vertical planting wall panel from landscaping waste ผลงานของ อาจารย์ดนุพล มากผ่อง และผู้ช่วยศาสตราจารย์วีระยุทธนาคทิพย์ นักวิจัยและอาจารย์ สาขาเทคโนโลยีภูมิทัศน์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ตอบโจทย์กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ขับเคลื่อน BCG Model เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน นำขยะกลับไปใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์

งานวิจัยนี้เพื่อต้องการลดปริมาณขยะในงานภูมิทัศน์ เกิดขึ้นจากการจัดสร้าง และดูแลรักษาภูมิทัศน์เกิดขึ้นจากขั้นตอนการปลูกต้นไม้ รวมไปถึงการดูแล และการตกแต่งภูมิทัศน์ เช่น กระถางพลาสติกถุงเพาะชำต้นไม้ แผ่นซาแรนหุ้มโคนต้นไม้ ถุงดินปลูกที่ย่อยสลายไม่ได้ ซึ่งเป็นการนำขยะในงานภูมิทัศน์ กลับมาใช้ใหม่ ให้เกิดประโยชน์ สามารถพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  29 ธันวาคม 2566

ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2023/362217

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งมีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ เป็นประธาน ได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 โดยขยายขอบข่ายการสนับสนุนตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม รวมถึงการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นและกลุ่มเกษตรกรในการยกระดับสิ่งแวดล้อมในชุมชน โดยการจัดการป่าในพื้นที่เป้าหมาย ครอบคลุมทั้งป่าชุมชน ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติทั่วประเทศ เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5

สำหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในครั้งนี้ บีโอไอได้หารือร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการกำหนดมาตรการที่จะช่วยสนับสนุนและเพิ่มความสามารถขององค์กรท้องถิ่นและกลุ่มเกษตรกร ในการยกระดับการจัดการสิ่งแวดล้อมในชุมชนด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างยั่งยืน โดยกิจกรรมที่สามารถขอรับสิทธิตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เช่น การก่อสร้างแนวกันไฟป่าเปียก การก่อสร้างฝายชะลอความชุ่มชื้น การสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ดับไฟป่า การฝึกอบรมด้านการป้องกันและควบคุมไฟป่า

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมสนับสนุนการจัดการป่า และการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ตามเกณฑ์ที่กำหนด และได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ของกิจการที่ดำเนินการอยู่ เป็นเวลา 3 ปี ในสัดส่วนไม่เกิน 200% ของเงินลงทุนที่จ่ายจริงในการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นและกลุ่มเกษตรกร โดยเลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า ท่ามกลางกระแสการโยกย้ายฐานการผลิตและการลงทุนที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้โอกาสนี้ ในการดึงดูดและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรม ซึ่งที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบให้ขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุน 3 มาตรการ ที่เดิมจะสิ้นสุดในเดือน ธ.ค. 66 ออกไปอีก 1 ปี โดยสามารถยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนได้ภายในวันทำการสุดท้ายของปี 2567 ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ มาตรการรักษาและขยายฐานการผลิตเดิม และมาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจแบบครบวงจร


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  28 ธันวาคม 2566

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พร้อมมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จำนวน 1,300 ชุด หลังเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้เกิดอุทกภัยฉับพลัน ส่งผลทำให้พื้นที่ทางการเกษตรและบ้านเรือนของประชาชนเกิดน้ำท่วมขังและยังมีถนนสายหลักและถนนภายในหมู่บ้านมีน้ำท่วมสูง ถนนบางสายยานพาหนะทุกชนิดไม่สามารถสัญจรไปมาได้

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดเร่งสำรวจความเสียหายด้านการเกษตรและเข้าให้การช่วยเหลือประชาชนและเกษตรกรอย่างเร่งด่วน พร้อมดำเนินการจัดตั้งโรงครัวเพื่อผลิตอาหารและมอบน้ำดื่มให้กับผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำและสนับสนุนหญ้าแห้งเสบียงอาหารสัตว์ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ด้วย ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาว ในการบริหารจัดการน้ำและภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  27 ธันวาคม 2566

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คุมเข้มการเผาในเขตป่าอนุรักษ์ผ่านศูนย์สั่งการและติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน (War Room) 380 วอร์รูม พร้อมดึงผู้นำท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อป้องกันและควบคุมไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5

รอ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า หลังจาก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งศูนย์สั่งการและติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน (War Room) รูปแบบ Single Command ที่จะรายงานสถานการณ์จากวอร์รูมระดับป่าอนุรักษ์แห่งชาติ ถึง วอร์รูมระดับสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ (สบอ.) แล้วส่งมายังวอร์รูมกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชรวม 380 แห่ง เบื้องต้นจากการปฏิบัติงานของวอร์รูม 11 พื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่มีพื้นที่เผาไหม้มากที่สุดปีนี้ คือ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น อุทยานแห่งชาติสาละวิน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวิน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำปาย เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่จริม เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท (เตรียมการ) อุทยานแห่งชาติแม่ปิง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ถือเป็นพื้นที่สำคัญที่สุดที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากเป็นหน่วยที่เผชิญเหตุการณ์ จึงขอให้ทำงานร่วมกับจังหวัดอย่างเคร่งครัดในการบริหารจัดการเรื่องกำลังพลเจ้าหน้าที่ อุปกรณ์ดับไฟป่า และเงินงบประมาณ เพื่อเตรียมพร้อมหากเกิดไฟป่าในพื้นที่ รวมทั้ง ขอให้จัดระเบียบการเผาโดยเฉพาะช่วงเวลาที่ฝุ่น PM 2.5 มีปริมาณมากอย่าเผาพร้อมกัน ให้กระจายกันเผาคนละช่วงเวลา เพื่อลดปริมาณฝุ่นละออง

ด้าน นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า ศูนย์วอร์รูมนี้ จำเป็นต้องเชื่อมโยงสอดคล้องกับศูนย์ปฏิบัติการของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะระดับจังหวัดและระดับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เพื่อแก้ปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง หมอกควัน และฝุ่นละอองอย่างประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ส่วนหน้าด้วย เพราะปี 2567 จะหนักเน้นมาตรการตรึงพื้นที่มุ่งเป้า 11 ป่าอนุรักษ์ และพื้นที่ป่าอนุรักษ์อื่นๆทั่วประเทศ เพื่อนำไปสู่การลดพื้นที่เผาไหม้ลงให้ได้ร้อยละ 50 จากปี 2566 ด้วยการทำงานเชิงรุกมากขึ้น สำหรับพื้นที่เผาไหม้ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ปีนี้รวม 12.78 ล้านไร่ อยู่ในภาคเหนือมากที่สุด 17 จังหวัด รวม 9.87 ล้านไร่ จึงได้เตรียมแนวทางจัดการเชื้อเพลิงพื้นที่เสี่ยง // ตรึงพื้นที่กำหนดจุดตรวจ จุดสกัด จุดเฝ้าระวัง // จัดตั้งวอร์รูมระดับ สบอ. และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ // จัดเตรียมและบูรณาการกำลังพลเพื่อดับไฟป่า // ลาดตระเวน เฝ้าระวังควบคุมพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมงในช่วงหน้าไฟป่า // จัดระเบียบพื้นที่การเผาเกษตรกรรมในเขตป่า // กำหนดแผนบริหารจัดการเมื่อเกิดเหตุการณ์ // จัดระเบียบการเข้า -ออก พื้นที่ป่าอนุรักษ์ // ควบคุมการเก็บหาของป่าและใช้ประโยชน์ และสุดท้าย มวลชนสัมพันธ์แบบเคาะประตูบ้าน หรือการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผู้เผาป่า


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.