• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  8 กรกฎาคม 2567

ที่มา: https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2797402

“กรุงเทพมหานคร” ก็ได้มีการจัดทำเว็บไซต์ Greener Bangkok แพลตฟอร์มที่รวบรวมเรื่องราวด้านสิ่งแวดล้อมของกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลออนไลน์ สำหรับประชาชน องค์กร และภาคส่วนที่ต้องการข้อมูลและต้องการเข้ามามีส่วนร่วม ในการสร้างและดูแลเมืองหลวงของประเทศไทย ให้เป็นเมืองยั่งยืน น่าอยู่ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นโครงการในความร่วมมือระหว่าง กทม. สสส. และคณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

โดยข้อมูลในเว็บไซต์ จะประกอบด้วยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การบริหารจัดการขยะและการรีไซเคิล วิธีทิ้งขยะแต่ละประเภทให้ถูกวิธี วิธีทิ้งขยะชิ้นใหญ่ คู่มือการทิ้งขยะสำหรับบ้านและคอนโดฯ สถานศึกษา ห้าง ตลาด ข้อมูลเรื่องฝุ่น PM 2.5 คู่มือการดูแลตัวเองจากฝุ่น PM 2.5 คลินิกมลพิษทางอากาศ ซึ่งเป็นบริการตรวจสุขภาพ และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะข้อมูลเรื่อง Climate Change การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ข้อมูลด้านความยั่งยืน

อีกหนึ่งความน่าสนใจของเว็บไซต์ greenerbangkok คือ มีการออกแบบเนื้อหาที่เข้าใจง่าย และมีรูปภาพประกอบน่าสนใจ เช่น หัวข้อ “How to ทิ้ง“ ซึ่งให้ความรู้เรื่องการทิ้งขยะอย่างถูกวิธี โดยมีเนื้อหาและข้อมูลแนะนำการทิ้งขยะมากกว่า 56 ประเภท อีกทั้งยังมีการแนะนำข้อมูลสวนสาธารณะ หรือพื้นที่สีเขียวใน กทม. รวมถึงกิจกรรมที่ทำได้ในพื้นที่ อาทิ นั่งเรือปั่นเป็ด เล่นกีฬาบาสเกตบอล ปั่นจักรยาน ฟิตเนส สระว่ายน้ำ หรือแบดมินตัน เป็นต้น


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  7 กรกฎาคม 2567

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ (https://www.thansettakij.com/climatecenter/environment/600874)

“ลุฟท์ฮันซ่า” เก็บค่าธรรมเนียมด้านสิ่งแวดล้อม สำหรับเที่ยวบินขาออก จากประเทศสมาชิก EU ที่ออกเดินทางตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป คาดทำตั๋วเครื่องบินพุ่งสูงสุด 77 ดอลลาร์สหรัฐ         ลุฟท์ฮันซ่า กรุ๊ป (Lufthansa Group) ยักษ์ใหญ่ด้านสายการบินจากเยอรมนี ประกาศ ว่า จะดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมด้านสิ่งแวดล้อม (environmental cost surcharge) สำหรับราคาตั๋วอย่างเร็วที่สุดภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจสูงแตะ 72 ยูโร (77 ดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับบางเที่ยวบิน ทั้งนี้ค่าธรรมเนียมดังกล่าวนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมบางส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม ลุฟท์ฮันซ่าระบุในแถลงการณ์ โดยอ้างถึงกฎระเบียบของสหภาพยุโรป (EU) และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ลุฟท์ฮันซ่า กล่าวว่า ค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมนี้จะถูกเรียกเก็บกับทุกเที่ยวบินที่เดินทางออกจากประเทศสมาชิก EU ทั้ง 27 ประเทศ รวมถึงอังกฤษ นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์ โดยเที่ยวบินทั้งหมดที่จำหน่ายหรือดำเนินการโดยลุฟท์ฮันซ่า กรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าของสายการบินต่าง ๆ เช่น ลุฟท์ฮันซ่า, ยูโรวิงส์ (Eurowings), สวิส (Swiss), เอเดลไวส์ แอร์ (Edelweiss..Air) และออสเตรียน แอร์ไลน์ส (Austrian..Airlines) นั้น จะต้องเสียค่าธรรมเนียมนี้ด้วย อย่างไรก็ตามสำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะมีผลกับตั๋วโดยสารทั้งหมดที่ออก สำหรับเที่ยวบินที่ออกเดินทางตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  6 กรกฎาคม 2567

ที่มา https://www.the101.world/nature-restoration-law/

คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (European Council) ได้ให้การรับรองอย่างเป็นทางการต่อกฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูธรรมชาติ (Nature Restoration Law) ในระดับทวีปฉบับแรกของโลก กฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายที่จะวางมาตรการเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ระบบนิเวศทางบกและทะเลของสหภาพยุโรปให้ได้อย่างน้อย 20% ภายในปี 2030 และฟื้นฟูระบบนิเวศที่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในปี 2050

การรับรองกฎหมายดังกล่าวนับว่าเป็นพัฒนาการทางนโยบายที่สำคัญมาก เพราะกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดเป้าหมายและพันธกรณีที่เฉพาะเจาะจง และมีผลผูกพันทางกฎหมายสำหรับการฟื้นฟูธรรมชาติในแต่ละระบบนิเวศที่ระบุไว้ ตั้งแต่ระบบนิเวศทางบก ทางทะเล น้ำจืด ไปจนถึงระบบนิเวศในเมือง แม้แต่การกำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องมีมาตรการเพิ่มประชากรผีเสื้อในทุ่งหญ้า เพิ่มประชากรนกป่า เพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่เกษตร ยุติการสูญเสียพื้นที่สีเขียวในเมือง หรือแม้แต่การรื้อเขื่อนรื้อฝายเพื่อทำให้แม่น้ำอย่างน้อย 25,000 กิโลเมตรได้กลับมาไหลได้อย่างอิสระอีกครั้ง

กฎหมายนี้ทำให้ทวีปยุโรปกลายเป็นผู้นำด้านการฟื้นฟูระบบนิเวศในระดับโลก และเป็นต้นแบบให้กับภูมิภาคอื่นๆ ได้นำไปปรับใช้ต่อไปซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ อย่างสอดคล้องและเป็นหนึ่งเดียวในวาระ 2050 ตามข้อตกลงความหลากหลายทางชีวภาพโลกฉบับใหม่อีกด้วย


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  5 กรกฎาคม 2567

ที่มา: https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/85366

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการระดับรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมภูมิภาคอาเซียนตอนใต้ ภายใต้ข้อตกลงอาเซียน ว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ 25 ร่วมกับรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมจาก 5 ประเทศ ได้แก่ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และติมอร์-เลสเต โดยมี ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ทส. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงฯ และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด ทส. ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมฯ ณ โรงแรมอวานี ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ

พล.ต.อ.พัชรวาท ได้กล่าวเปิดการประชุมฯ โดยได้แสดงความชื่นชมความมุ่งมั่นของทุกประเทศในการร่วมกันดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียน เรื่อง มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน พร้อมแสดงจุดยืนของประเทศไทยว่า ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการร่วมมือกับ 10 ประเทศอาเซียน เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนอย่างยั่งยืน สำหรับการป้องกันการเกิดหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียนตอนใต้ของประเทศไทย ซึ่งจะเข้าสู่ช่วงเฝ้าระวัง ตั้งแต่ต้นเดือน กรกฎาคม – กันยายน ในปีนี้ได้สั่งการให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ เฝ้าระวังการเกิดไฟในป่าพรุ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัด ตรวจสอบสาเหตุจุดความร้อนที่สูงขึ้นในพื้นที่เกษตร และกำชับให้ควบคุมอย่างเข้มงวด รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถการเฝ้าระวังและดับไฟ ให้มีกลไกการบังคับบัญชาผ่านศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัดที่เหมาะสมและเข้าถึงท้องถิ่นในทุกระดับ เพื่อให้เกิดการดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการจัดการป่าพรุอย่างยั่งยืน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อบรรเทาความสูญเสียและความเสียหายจากไฟในพื้นที่พรุที่จะเกิดขึ้นในประเทศ และอาจส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้าน โดยยืนยันว่า ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน อย่างเป็นรูปธรรม


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  4 กรกฏาคม 2567

ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์ (https://www.dailynews.co.th/news/3604065/)

นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพที่กำลังเผชิญความเสี่ยง ต่อสถานการณ์การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยเหตุนี้ ทุกประเทศจึงต้องเร่งหยุดยั้งการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอย่างจริงจังผ่านการแก้ไขปัญหาโดยใช้ธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based Solution) ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการบูรณาการระหว่าง Climate Action และ Biodiversity Action ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนของกรอบงานกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลกให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้

นายประเสริฐ ศิรินภาพร เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กรอบงานความหลากหลายทางชีวภาพของโลก ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Biosiversity Plan โดยกำหนดที่ต้องบรรลุภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573 ) เพื่อหยุดยั้งการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ทส. โดย สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ในฐานะหน่วยประสานงานกลางระดับชาติของอนุสัญญาฯ ได้แปลงเป้าหมายระดับโลกมาสู่แผนปฏิบัติการความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (National Biodiversity Strategies and Action Plans: NBSAPs) เพื่อเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการทำงาน โดยมีเป้าหมายที่สำคัญ ๑๒ เป้าหมาย สำหรับการจัดกิจกรรมเนื่องในวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพในปีนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดี ในการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ รับทราบความก้าวหน้าของการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ที่ประเทศไทยจะมีส่วนร่วม ในการสนับสนุนเป้าหมายในระดับโลก และแสดงถึงการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนางสาวจิตตินันท์ เรืองวีรยุทธ ผู้อำนวยการกองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ กล่าวว่า กิจกรรมเนื่องในวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗ กำหนดจัดขึ้นในวันอังคารที่ 9 กรกฎาคม เวลา 09.00 – 15.30 น. ณ ห้องบีซีซี ฮอลล์ ชั้น ๕ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์ เพื่อนำเสนอแนวทางปฏิบัติที่ดีในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ เสริมสร้างและผลักดันกิจกรรมด้าน Nature..Positive ส่งเสริมการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรความร่วมมือทั้งใน และต่างประเทศ และประชาชน ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินงานและพันธกรณี ของประชาคมโลก โดยรูปแบบของกิจกรรมในปีนี้ประกอบด้วย การบรรยาย และการหารือ/แลกเปลี่ยนประสบการณ์ การนำเสนอผลการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนและสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจในงานนี้ เช่น ความก้าวหน้าของการขับเคลื่อน การดำเนินงาน OECMs หรือพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตพื้นที่คุ้มครอง เทคโนโลยีจากธรรมชาติเพื่อแก้ปัญหาความหลากหลายทางชีวภาพ (Nature-based Solution) นิทรรศการและกิจกรรมที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดการอนุรักษ์ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ จากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ สถาบันการศึกษา นักวิชาการ และภาคประชาสังคม จำนวนประมาณ 300 คน โดย สผ. จะมีการรวบรวมประเด็นจาก ภาคส่วนต่าง ๆ มาประกอบเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 16 หรือ CDB COP 16 ณ สาธารณรัฐโคลอมเบีย ในช่วงปลายปีนี้ต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  3 กรกฎาคม 2567

ที่มา https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/85304

ครม.มีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่นว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ

ร่างบันทึกความร่วมมือฯ ฉบับใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างอำนวยความสะดวกและพัฒนาความร่วมมือซึ่งกันและกันในสาขาสิ่งแวดล้อมและบันทึกความร่วมมือฯ ฉบับนี้ ไม่ใช่สนธิสัญญาและไม่ก่อให้เกิดสิทธิหรือข้อผูกมัดใดๆภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ จะมีพิธีลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ ระหว่างรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายในห้วงการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสไทย – ญี่ปุ่น ครั้งที่ 4 ในช่วงเช้าของวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  2 กรกฎาคม 2567

ที่มา: https://www.chiangmainews.co.th/social/3361373/

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เป็นประธานร่วมในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ “การบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสาขาสาธารณสุข ภายใต้แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ” เสริมสร้างความร่วมมือและเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมี นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงอัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล อธิบดีกรมอนามัย ผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมงาน

พล.ต.อ.พัชรวาท ทส. ให้ความสำคัญกับการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชน จึงได้มีความร่วมมือกับ สธ. เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านสาธารณสุขอย่างเป็นรูปธรรม สร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพของประเทศไทย ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในทุกพื้นที่ รวมถึงการลดและป้องกันการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของประชาชนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้ยังแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการบูรณาการการดำเนินงานของทั้งสองกระทรวง

ด้าน นายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกพบว่า มีประชากร 3,600 ล้านคน อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และคาดว่าในช่วงปี พ.ศ. 2573 – 2593 จะมีผู้เสียชีวิตจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มขึ้นประมาณ 250,000 คนต่อปี ซึ่ง สธ. ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มกำลังในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งในระดับนานาชาติ ตามนโยบายขององค์การอนามัยโลกและในระดับประเทศ โดยผลักดันนโยบายและแผนปฏิบัติการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านสาธารณสุข พ.ศ. 2564 – 2573 รวมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการพัฒนาระบบการให้บริการสุขภาพ เมื่อเผชิญกับภัยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนและชุมชนสามารถจัดการความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยและโลกใบนี้อย่างยั่งยืนต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  1 กรกฏาคม 2567

ที่มา : THE BANGKOK INSIGHT (https://www.thebangkokinsight.com/news/environmental-sustainability/1347091/)

“พัชรวาท” เคาะประกาศ กำหนดแนวเขตพื้นที่-มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเล 2 พื้นที่ หมู่เกาะสีซัง ชลบุรี และ พื้นที่ตำบลเกาะสาหร่าย สตูล

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ (กทช.) ครั้งที่ 2/2567 โดยที่ประชุม ได้รับทราบรายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่ง ในพื้นที่ 24 จังหวัด ชายฝั่งทะเล รอบ 4 เดือน (กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2567 แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ป้าชายเลนและป้าชายหาด รวมทั้งรายงานผลการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล ครั้งที่ 81 รายงานผลการประชุมวิชาการนานาชาติ ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ครั้งที่ 1 และการประชุมระดับภูมิภาคทศวรรษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยมหาสมุทร ครั้งที่ 2 พร้อมทั้งมีมติประชุม ที่สำคัญ อาทิ การเห็นชอบ (ร่าง) รายงานสถานการณ์ ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ พ.ศ. 2566 ซึ่งมีประเด็นปัญหาเร่งด่วน ได้แก่ ความเสื่อมโทรมของคุณภาพน้ำและการกัดเซาะชายฝั่ง ในพื้นที่อ่าวไทยตอนใน และการระบาดของปลาหมอสีคางดำ ออกประกาศกำหนดเขต-คุ้มครองทรัพยากรทางทะเล 2 พื้นที่ โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก่ไขปัญหารวมกันอย่างบูรณาการทั้งในระดับจังหวัดและระดับพื้นที่ ผ่านกลไกการมีส่วนร่วม รวมทั้งเห็นชอบการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดแนวเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 มาตรา 22 ใน 2 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่หมู่เกาะสีซัง อำเภอเกาะสีซัง จังหวัดชลบุรี และพื้นที่ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมือง จังหวัดสตูล อาทิ การห้ามทำให้เกิดมลพิษ ห้ามเททิ้งขยะ ห้ามทิ้งสมอเรื่อ ห้ามสร้างสิ่งปลูกสร้างใด ๆ บริเวณแนวปะการัง ห้ามนำและใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่เป็นอันตรายต่อปะการัง ห้ามการขุด การถมทะเล หรือการขุดลอกร่องน้ำ และห้ามเก็บหรือขนย้ายเปลือกหอยทุกประเภทบนเกาะหอขาว เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและการพัฒนาเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและ กทช. อย่างเร่งด่วน ติดตามความก้าวหน้าการแก่ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลให้กลับมาสมบูรณ์ต่อไป


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.