• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  6 มิถุนายน 2567

ที่มา https://www.posttoday.com/smart-life/709593

กล่องกระดาษ นับเป็นขยะที่ขยายตัวต่อเนื่องจากการเติบโตของ E-Commerceหลายท่านอาจรู้สึกปวดหัวไม่รู้ต้องจัดการกล่องเหล่านี้เช่นไร แต่ปัญหาอาจหมดไปเมื่อมีการผลิตโฟมชนิดใหม่อาศัยกล่องกระดาษจากการส่งพัสดุ

ส่วนนี้ถือเป็นการซ้ำเติมปัญหาขยะล้นเมืองและการจัดการขยะในหลายประเทศ เพราะพัสดุออนไลน์ยังคงได้รับความนิยมอีกทั้งบรรจุภัณฑ์ที่นำมาใช้งานมีส่วนผสมของพลาสติก โฟม ไปจนกระดาษแข็ง ที่จัดการได้ยาก จึงกลายเป็นปัญหาที่ต้องได้รับความใส่ใจอย่างเร่งด่วน

ด้วยเหตุนี้จึงมีการคิดค้นวัสดุชนิดใหม่จากการรีไซเคิลกล่องบรรจุภัณฑ์จากธุรกิจ E-Commerce  ผลงานนี้เป็นของทีมวิจัยจาก Beijing Forestry University แห่งประเทศจีน กับการคิดค้นวัสดุรูปแบบใหม่ โดยอาศัยการรีไซเคิลกล่องกระดาษที่ได้รับความนิยมในธุรกิจ E-Commerce มาผลิตเป็นโฟมชนิดใหม่ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาขยะได้ในหลายมิติ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  5 มิถุนายน 2567

ที่มา: https://ch3plus.com/news/environment/krobkruakao3/402683

วันสิ่งแวดล้อมโลก หรือ World Environment Day มีจุดเริ่มต้นขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักต่อวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทั่วโลก จาก “การประชุมสหประชาชาติเรื่องสิ่งแวดล้อมของมนุษย์” หรือ “UN Conference on the Human Environment” ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เพื่อร่วมกันหาหนทางแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่แต่ละประเทศกำลังเผชิญอยู่  ดังนั้นเพื่อเป็นการระลึกถึงจุดเริ่มต้นของการร่วมมือจากหลากหลายชาติในด้านสิ่งแวดล้อม องค์การสหประชาชาติจึงได้ประกาศให้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปีเป็น “วันสิ่งแวดล้อมโลก” พร้อมจัดให้มีคำขวัญและหัวข้อเพื่อการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมในแต่ละปีต่างกัน

โดยในส่วนของประเทศไทย กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้มีการจัดกิจกรรมเนื่องใน “วันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด “Our land. Our future. We are #GenerationRestoration.” “พลิกฟื้นผืนดิน สู้วิกฤตภัยแล้ง” ในวันที่ 5 มิถุนายน 2567 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สู้วิกฤตภัยแล้ง อีกทั้งนำเสนอการเตรียมการประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือ ยกระดับการดำเนินงานของภาคีเครือข่ายภาคเอกชน มุ่งสู่เป้าหมาย Thailand Net Zero 2065 ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีแนวทางในการประกอบกิจการที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงสร้างความรู้ความเข้าใจ ส่งเสริมให้กลุ่มผู้บริโภคการมีส่วนร่วมในการลดปริมาณขยะ ลดใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อตั้งรับปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ประสบความสำเร็จต้องใช้แนวทางที่ใช้ความรู้ แรงผลักดัน และความร่วมมือจากคนทุกรุ่น และหน่วยงานทุกภาคส่วนในสังคม  การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจึงเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษาด้วยการช่วยกันประหยัดทรัพยากรที่อยู่รอบ ๆ ตัว เช่น การใช้น้ำ ไฟ อย่างคุ้มค่า การลดปริมาณขยะ สร้างพฤติกรรมการแยกขยะ และการลดการก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ทางน้ำ และทางเสียง ไม่ตัดไม้ทำลายป่า รวมทั้งช่วยกันปลูกป่า ปลูกต้นไม้ เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลกของเรา ตลอดจนช่วยกันเสริมสร้างปลูกจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม สร้างทัศนคติในการอนุรักษ์ทรัพยากรกลับมาใช้อย่างรู้คุณค่า เพื่อเป็นพลังสำคัญในการรักษาทรัพยากรสิ่งแวดล้อมให้สดใสและยั่งยืนสำหรับทุกคนต่อไปในอนาคต


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  4 มิถุนายน 2567

ที่มา : Springnews (https://www.springnews.co.th/keep-the-world/environment/850750)

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัญหา “ขยะล้นโลก” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเกิดจากการใช้ทรัพยากรในการอุปโภค-บริโภคของมนุษย์ ร่วมรณรงค์เร่งแก้ปัญหาขยะเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน ในแต่ละปี มนุษย์ทั่วโลกสร้างขยะมากถึง 2.12 พันล้านตัน แต่เรากลับมีการบริหารจัดการที่ไม่เหมาะสม โดยขยะส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ถูกนำไปทิ้งตามบ่อทิ้งขยะ หรือทิ้งตามแม่น้ำ และในท้ายที่สุด พวกมันก็ลอยไปอยู่ในทะเล แต่ปัญหาขยะจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นในประเทศที่มีฐานะไม่ร่ำรวย ดังนั้นหากมนุษย์เราไม่ช่วยเหลือกันอย่างจริงจัง คำกล่าวที่ว่า “ขยะล้นโลก” ก็คงจะเกิดขึ้นในอนาคตประเทศร่ำรวยขนขยะมาทิ้งที่ประเทศยากจนกว่า เมื่อปลายปี 2021 สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ ประกาศนโยบายที่ตั้งเป้าว่า สหรัฐฯจะต้องมีอัตราการรีไซเคิลขยะให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2030 โดยตัวเลขเมื่อปี 2018 คาดการณ์ว่า สหรัฐฯสามารถรีไซเคิลขยะได้เพียงแค่ 32 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และมีขยะพลาสติกเพียงแค่ 8.7 เปอร์เซ็นต์ที่ถูกนำกลับมารีไซเคิลในแต่ละปี ทั้งนี้ เนื่องจากในปี 2018 จีน ซึ่งเป็นประเทศนำเข้าขยะรายใหญ่ ประกาศจะไม่รับขยะพลาสติกจากต่างประเทศมาจัดการอีกแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการลงนามของกว่า 180 ประเทศที่จะใช้มาตรการอันเข้มงวดขึ้น ต่อประเด็นการที่ชาติร่ำรวยจะขนขยะพลาสติกไปทิ้งในประเทศยากจนกว่า อย่างไรก็ตาม แม้จีนจะไม่รับขยะพลาสติกและยังมีข้อตกลงร่วมกันของหลายชาติ แต่ในปี 2021 สหรัฐฯก็ยังคงส่งออกขยะพลาสติก 45 ล้านตันไปทิ้งในต่างประเทศอยู่ดี และมากขึ้นกว่าปี 2020 ด้วย สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร แคนาดา ไอร์แลนด์ และเยอรมนี เคยพึ่งพาประเทศอย่างจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย เคนยา เวียดนาม และตุรกี ในการรีไซเคิลขยะ อย่างไรก็ตาม เมื่อประเทศเหล่านั้นเต็มไปด้วยขยะจำนวนมาก และไม่มีเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ที่จะจัดการขยะรีไซเคิลอย่างเหมาะสม ก็ทำให้ในท้ายที่สุดขยะเหล่านั้นได้รับการจัดการที่ไม่ดี และถูกเผาแทนที่จะถูกนำไปรีไซเคิล ประชากรในอาเซียนกำลังเพิ่มขึ้น ขยะก็เพิ่มตาม ขยะมากถึง 1 ใน 5 ของโลกใบนี้อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนอกจากสาเหตุเรื่องการรับขยะจากต่างประเทศมาจัดการแล้ว อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ขยะในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็คือ การขยายตัวของเขตเมือง และการขยายตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรามีประชากรเพิ่มขึ้นเกือบ 25 เปอร์เซ็นต์ เป็นกว่า 690 ล้านคนแล้ว ปัจจัยต่างๆนำมาสู่การบริโภคที่เพิ่มขึ้น และทำให้เกิดการสร้างขยะตามมา ซึ่งขยะเกิดขึ้นได้จากทุกช่องทางการบริโภค ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อของออนไลน์ ที่ต้องมีขยะจากบรรจุภัณฑ์ หรือจะเป็นการซื้อของจากหน้าร้านทั่วไป รายงานยังชี้ว่า กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของขยะที่ลอยลงไปในทะเลมาจากภูมิภาคอาเซียนของเรานี่เอง นอกจากนี้ เรายังมีการจัดการขยะอย่างไม่เหมาะสม โดยพบว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของขยะถ้าไม่ถูกทิ้งในที่ทิ้งขยะ ก็จะถูกนำไปเผาขยะล้นอินโดนีเซียจนชาวบ้านต้องย้ายบ้านหนี ในอินโดนีเซีย แต่ละวันจะมีขยะมากถึง 7 พันตันมาถึงที่บ่อทิ้งขยะบันตาร์เกบัง ซึ่งมีขนาดความกว้างเท่าสนามฟุตบอลกว่า 200 สนามรวมกัน และมีความสูงกว่าตึก 15 ชั้น โดยบ่อทิ้งขยะแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองเบกาซี ที่นี่รองรับขยะจากกรุงจาการ์ตามานานกว่า 30 ปีแล้ว รอบๆบ่อทิ้งขยะแห่งนี้ก็รายล้อมไปด้วยหมู่บ้านจำนวนมาก ซึ่งมีประชาชนราว 20,000 คนอาศัยอยู่  ปัญหาที่ตามมาก็คือกลิ่นและความสะอาด ส่งผลทำให้ชาวบ้านจำนวนมากต้องย้ายหนี แต่ประชาชนส่วนใหญ่ที่ยังอาศัยอยู่ก็คือคนที่ประกอบอาชีพเก็บของเก่าขาย บ่อทิ้งขยะบันตาร์เกบังเป็นหนึ่งในบ่อทิ้งขยะที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมันยังคงมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้รัฐบาลพยายามผลักดันให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆย้ายออก เพราะรัฐต้องการขยายพื้นที่ทิ้งขยะ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  3 มิถุนายน 2567

ที่มา https://www.lokwannee.com/web2013/?p=468365

โคกหนองนา แนวคิดการจัดการพื้นที่ทางการเกษตร ซึ่งเป็นการผสมผสานของเกษตรทฤษฎีใหม่ร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่นให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งเป็นการจัดการสภาพแวดล้อมที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติให้เกิดความยั่งยืนเอื้อต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในชุมชน

 การพัฒนาพื้นที่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ โดยยึดหลัก บวร โดยมีผู้นำศาสนาเป็นศูนย์รวมใจในการพัฒนาพื้นที่ให้ยั่งยืน  พระปลัดสาธิต สุจิณโณ ได้ให้แนวคิดกับคณะกรรมการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง(SEDZ) ตำบลบางสระเก้า อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรีว่า การจัดกระบวนการปรับปรุงพื้นที่ใหม่ครั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนสูงสุด ให้กำหนดชัดเจนลงไปว่า พื้นที่ไหนจะเป็นเขตอนุรักษ์ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีไว้บำบัดอากาศ แหล่งออกซิเจนของชุมชน พื้นที่ส่วนไหนจะเป็นส่วนที่ชาวบ้านใช้ทำมาหากิน ประมาณคนละ1- 2 ไร่ ให้มีรายได้และมีชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนั้นกันเขตพื้นที่สาธารณะเพื่อใช้เป็นศูนย์การเรียนรู้ โดยให้สมาชิกในกลุ่มวิสาหกิจฯ ดูแลกันเอง จ้างกันเองในราคาถูกและร่วมกันไม่ให้เกิดการบุกรุกทำลายสิ่งแวดล้อม ทั้งกันเขตพื้นที่สำหรับพัฒนาถนนให้เกิดความสะดวกมีไฟฟ้าประปาได้ในอนาคต พื้นที่ตรงนี้จะสร้างรายได้ทั้งเลี้ยงกุ้งเลี้ยงปลาแบบธรรมชาติ และจะประมวลผลทุกปีว่าชาวบ้านมีรายได้พอที่จะเลี้ยงชีพเลี้ยงครอบครัวตัวเองไหม”

นอกเหนือจากการสร้างงานสร้างรายได้ให้ชุมชน ทางกลุ่มวิสาหกิจฯ วางแผนไว้ว่าในส่วนพื้นที่ป่าจะทำทางเดินศึกษาธรรมชาติ 400 กว่าไร่ และฟื้นฟูระบบน้ำให้เป็นแหล่งอาศัยของตัวอ่อนสัตว์น้ำ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีธรรมชาติในชุมชน ซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์สมกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  2 มิถุนายน 2567

ที่มา: https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4602187

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับสำนักเลขาธิการอาเซียน เป็นเจ้าภาพจัดประชุมคณะทำงานอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมเมืองที่ยั่งยืน ครั้งที่ 22 เชื่อมโยงระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนให้เกิดพลังในการขับเคลื่อนการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองสู่ความยั่งยืน ณ โรงแรมอมารี กรุงเทพฯ มี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม และนายปวิช เกศวววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานร่วมดำเนินการประชุม

ผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วย ผู้อำนวยการกลุ่มสิ่งแวดล้อมและเจ้าหน้าที่ สำนักเลขาธิการอาเซียน ผู้แทนหน่วยงาน National Focal Point คณะทำงานอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมเมืองที่ยั่งยืน (AWGESC) ประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ โดยมีผู้แทนจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศและหน่วยงานพันธมิตรของภูมิภาคอาเซียน และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย รวม 70 คน สำหรับประเทศไทย ทส. ได้บูรณาการแผนงานระดับภูมิภาคอาเซียนดังกล่าวในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 พร้อมทั้งขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรมโดยน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นธงนำทาง ซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมควบคู่กับการอนุรักษ์ ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลางในการมีส่วนร่วมและบูรณาการทุกภาคส่วนและทุกระดับทั้งภาคประชาชน ภาครัฐและภาคเอกชน

ดร.ชญานันท์  กล่าวว่า ทส. ได้ผลักดันการดำเนินงานเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนให้ครอบคลุมทั้งประเทศตามบริบทและอัตลักษณ์พื้นที่ มุ่งเป้าบรรลุผลสำเร็จ “เมืองยืดหยุ่นปรับตัว สังคมในเมืองที่สงบและปลอดภัย รวมทั้งวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ด้วยการส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตระหนักและบูรณาการแนวคิดการจัดการสิ่งแวดล้อมยั่งยืน สะท้อนบทบาทที่สร้างสรรค์ ในการเชื่อมโยงระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนให้เกิดพลัง ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ นำไปสู่การยกระดับการขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 1 มิถุนายน 2567

ที่มา : MGR Online (https://mgronline.com/smes/detail/9670000046061)

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมอิสราเอล (Israel Innovation Authority) หรือ IIA โชว์นวัตกรรมการรีไซเคิลขยะพลาสติกผสมพีวีซีด้วยกระบวนการซูปเปอร์ออกไซด์เพื่อผลิตน้ำมัน แนฟทาสำหรับอุตสาหกรรมเคมีครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ 2 บริษัทนวัตกรรม ได้แก่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) จากประเทศไทย และบริษัท พลาสติกแบ๊ค (Plastic Back) จากประเทศอิสราเอล โดยนวัตกรรมนี้จะช่วยแก้ปัญหากระบวนการกำจัดและเปลี่ยนขยะพลาสติกที่มีพีวีซีปนเปื้อนซึ่งยากต่อการกำจัดและได้ผลผลิตเป็นน้ำมันแนฟทาสำหรับใช้ในโรงงาน ทดแทนแนฟทาจากฟอสซิลซึ่งมีราคาสูงมากได้ และโครงการนี้ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จของโครงการพัฒนาความร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรม (Bilateral Programs for Parallel Support)

          ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า “NIA มุ่งส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมที่สร้างมูลค่าและส่งผลกระทบเชิงบวกทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเร่งสร้างโอกาสการเติบโตให้กับผู้ประกอบธุรกิจนวัตกรรม จึงได้ดำเนิน “โครงการพัฒนาความร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรม” ขึ้น โดยร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมอิสราเอล หรือ IIA พัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบธุรกิจนวัตกรรมในสาขาธุรกิจที่มีความสนใจร่วมกันระหว่างสองประเทศ โดย “โครงการรีไซเคิลขยะพลาสติกผสมพีวีซีด้วยกระบวนการซูปเปอร์ออกไซด์เพื่อผลิตน้ำมันแนฟทาสำหรับอุตสาหกรรมเคมี” ระหว่างบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท พลาสติกแบ๊ค ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จที่มีการนำนวัตกรรมจากอิสราเอลมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยนับตั้งแต่มีการลงนามความร่วมมือ (MoU) ด้านนวัตกรรมในปี 2561 ซึ่งนอกจากจะสามารถนำน้ำมันแนฟทาจากกระบวนการรีไซเคิลทางเคมีมาใช้เป็นสารตั้งต้นในโรงงานอุตสาหกรรมหรือขายทดแทนแนฟทาจากฟอสซิลที่ปัจจุบันมีราคาขายประมาณ 550 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันแล้ว ยังช่วยลดปริมาณการใช้สารตั้งต้นในกลุ่มฟอสซิลให้แก่โรงงานปิโตรเคมี และเพิ่มอัตราส่วนของผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำ (Green polymer) ได้อีกด้วย”


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  31 พฤษภาคม 2567

ที่มา https://www.nationtv.tv/gogreen/378944452

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ 7 อำเภอ จ.พังงา และ 5 อำเภอ จ.กระบี่ ต่อเนื่องจากเดิม พร้อมเพิ่มมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งใหม่ ในพื้นที่หมู่เกาะพยาม อ.เมืองระนอง จ.ระนอง อย่างจำเป็นเร่งด่วน

เพราะทรัพยากรธรรมชาติมีอยู่อย่างจำกัด จึงต้องได้รับการดูแลรักษาและฟื้นฟู โดยเฉพาะทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของไทยที่เป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวของคนทั่วโลก

แนวทางปฏิบัติ อาทิ ห้ามทิ้งขยะ ปล่อยน้ำเสีย ตะกอน การท่องเที่ยวดำน้ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อแนวปะการัง รวมทั้งการทิ้งสมอเรือ การให้อาหารสัตว์น้ำ การทำประมง การขุดหรือถมทะเล การจับหรือครอบครองปลาสวยงาม ซึ่งมาตรการดังกล่าวไม่ให้ใช้บังคับกับพื้นที่ราชการ เช่น กองทัพเรือ การปฏิบัติการของหน่วยงานรัฐ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การศึกษาและวิจัยทางวิชาการ หรือเพื่อประโยชน์ทางวิชาการ

“เมื่อประกาศกระทรวงฯ ทั้ง 3 ฉบับ ได้รับการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เชื่อมั่นว่าจะช่วยป้องกัน สงวน บำรุงรักษา และคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมที่มีคุณค่าในพื้นที่ให้คงอยู่ได้อย่างสมดุลตามธรรมชาติ และคงความสมบูรณ์ยั่งยืน ส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ทำให้เกิดรายได้กับประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับมามีความสมบูรณ์ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล คงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ เพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ เพิ่มรายได้กิจการประมงท้องถิ่น เป็นการบริหารทะเลและชายฝั่งให้เกิดความยั่งยืน”


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  30 พฤษภาคม 2567

ที่มา: https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_8259498#google_vignette

นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พร้อมด้วย น.ส.ระเบียบ ภูผา ผอ. กองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) ได้ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน วันสิ่งแวดล้อมโลก 2567 ภายใต้แนวคิด “Our land. Our future. We are #GenerationRestoration.” “พลิกฟื้นผืนดิน สู้วิกฤตภัยแล้ง” สร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นายเถลิงศักดิ์ กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดให้วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ทำให้ประเทศต่าง ๆ ตื่นตัวและหันมาให้ความสนใจดำเนินกิจกรรมที่ช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยในปีนี้ได้มาในแนวคิด “พลิกฟื้นผืนดิน สู้วิกฤตภัยแล้ง” มุ่งเน้นในเรื่องการฟื้นฟูที่ดิน การแปรสภาพเป็นทะเลทราย และการฟื้นตัวจากภัยแล้ง เนื่องจากโลกกำลังเผชิญวิกฤตทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และวิกฤตมลพิษและของเสีย ทำให้ที่ดินเสื่อมโทรม ส่งผลกระทบต่อประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของโลก อีกทั้งยังเป็นผลพวงมาจากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นราว 1.1 องศาเซลเซียส ที่ทุกประเทศประสบปัญหา ซึ่งภัยแล้งเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีผลกระทบรุนแรงและกว้างขวางต่อทุกภาคส่วนของสังคม ทั้งในด้านการเกษตร เศรษฐกิจ สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การปรับตัวต่อภัยแล้ง รวมถึงการฟื้นฟูที่ดิน จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ชุมชนและสังคมสามารถรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ด้าน น.ส.ระเบียบ ภูผา กล่าวว่า สำหรับการจัดงานวันสิ่งแวดล้อมโลก จะมีกิจกรรมที่น่าสนใจโดยภายในงาน จะมีการบรรยายให้ความรู้ ภายใต้หัวข้อ “พลิกฟื้นผืนดิน สู้วิกฤตภัยแล้ง” และเวทีเสวนา พื้นที่ต้นแบบ Success Model ของประเทศไทย โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และภาคีเครือข่ายในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการตั้งรับ การปรับต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในวันสิ่งแวดล้อมโลก เพื่อเตรียมพร้อมตั้งรับ ปรับตัว สร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สู้วิกฤตภัยแล้งไปด้วยกัน ในวันที่ 5 มิ.ย. 67 ที่ห้องประชุมวายุภักษ์ ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการ และคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.