• +662 441 5000
  • enwww@mahidol.ac.th

ข่าวสิ่งแวดล้อม

NBT CONNEXT  19 สิงหาคม 2567

วันนี้ (19 สิงหาคม 2567) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้า การเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดเพชรบุรี โดยนายณัฏฐชัย นำพูลสุขสันติ์  ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี หัวหน้าส่วนราชการ ให้การต้อนรับ ณ บริเวณสะพานดำ ข้างจวนผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่ายที่พร้อมช่วยเหลือประชาชนและเปิดเผยว่ารัฐบาลมีความห่วงใยเร่งป้องกันปัญหาอุทกภัยทุกด้าน พร้อมกล่าวถึงปัญหาอุทกภัยว่ามีทั้งอุทกภัยน้ำหลาก อุทกภัยน้ำแห้ง  ซึ่งทางกรมป้องกันภัยของกระทรวงมหาดไทยได้เตรียมแผนเผชิญเหตุไว้ในทุกสถานการณ์ การลงพื้นที่มาตรวจความพร้อมของกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยในเขตภาคใต้ตอนบน พร้อมชมการสาธิตในเรื่องของการกู้ภัยการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ การลำเลียงผู้ประสบเหตุ ข้ามสิ่งกีดขวาง ข้ามแม่น้ำเพชรบุรีได้อย่างปลอดภัย เพื่อส่งต่อการรักษาพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว

โดย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้เยี่ยมชมรถประกอบอาหารและกล่าวด้วยความน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะเป็นรถที่ได้แนวทางจากรถโรงครัวพระราชทาน ฯ และ  รถครัวสนามจากกองทัพบก เพื่อประกอบอาหารแจกจ่ายชาวบ้านในเขตประสบภัยได้ หลังจากนั้นเยี่ยมชมรถผลิตน้ำดื่ม ที่ช่วยแก้ปัญหาระบบน้ำ หรือระบบการขนส่งถูกตัดขาด ก็สามารถมีฐานเสบียงไว้ดูแลประชาชนทั้งน้ำดื่ม น้ำใช้ และเยี่ยมชมรถเครื่องจักร อุปกรณ์เคลื่อนที่ พร้อมเรือท้องแบนกู้ภัยแม้น้ำเข้าเรือก็ไม่จม

นอกจากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวย้ำถึงความพร้อมว่าต้องมีการฝึกซ้อมแผนปฏิบัติตลอดเวลา ให้สามารถช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วแต่ต้องปลอดภัยด้วย มีความชํานาญ แม้เราชนะธรรมชาติไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถที่จะทำให้ภัยธรรมชาติทั้งหลายทำอันตรายให้กับเราได้น้อยที่สุด มีวิธีการป้องกันเพื่อรักษาชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

จามรี อนุรัตน์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเพชรบุรี รายงาน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  18 สิงหาคม 2567

ที่มา : Ryt9.com (https://www.ryt9.com/s/prg/3540615)

สถานการณ์ขยะพลาสติก? เป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในระดับประเทศ ระดับภูมิภาคและระดับโลก หากยังไม่มีระบบการจัดการขยะที่เพียงพอและไม่มีประสิทธิภาพได้มีการคาดการณ์ว่าภายใน 20 ปีข้างหน้า จะมีขยะหลุดรอดออกสู่สิ่งแวดล้อมทั่วโลก จำนวนมากถึง 700 ล้านตัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศบนบก และระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ จากการศึกษางานวิจัยพบว่า มีการปนเปื้อนไมโครพลาสติกในร่างกายมนุษย์จากการบริโภคสัตว์น้ำมาอย่างต่อเนื่องและมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นทุกปี ในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา พบว่า 5 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีการปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ทะเลเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก สำหรับประเทศไทยถูกจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก พร้อมกับประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ดังนั้น การจัดการขยะพลาสติกจึงต้องเป็นวาระสำคัญที่ต้องดำเนินการร่วมกับทุกภาคส่วนในระดับภูมิภาคที่ใช้ทะเลหรือมหาสมุทรร่วมกัน

จากปัญหาขยะพลาสติกในภูมิภาคอาเซียน นำไปสู่ความร่วมมือในการจัดการขยะพลาสติกระดับภูมิภาค เพื่อลดปัญหาขยะพลาสติกและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและสร้างเครือข่ายของผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในนามเครือข่ายนวัตกรรมพลาสติกอินโด-แปซิฟิก (The Indo-Pacific Plastics Innovation Network หรือ IPPIN) ซึ่งเป็นเครือข่ายระดับภูมิภาคที่ทำงานร่วมกันของประเทศต่าง ๆ เพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือในการดำเนินการด้านการวิจัย การประกอบการ และการลงทุน รวมทั้งร่วมจัดการกับปัญหาขยะพลาสติกในภูมิภาค โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลออสเตรเลีย และดำเนินการโดยหน่วยงานวิทยาศาสตร์แห่งชาติของออสเตรเลีย (The Commonwealth Scientific and Industrial Research Organization หรือ CSIRO) พร้อมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานในประเทศไทย เวียดนาม และอินโดนีเซียและจะขยายผลไปยังประเทศลาวและกัมพูชาต่อไป ผ่านการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติเชิงพื้นที่ ซึ่งในปีนี้ CSIRO..ได้มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเพื่อร่วมหยุดยั้งปัญหาขยะพลาสติกในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยได้จัด การประชุม CSIRO Ending Plastic Waste Symposium 2024 ขึ้น ในวันที่ 6 – 8 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ณ นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือของเครือข่ายนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศ พร้อมทั้ง มีการนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานของ IPPIN และทิศทางการดำเนินงานในอนาคต ในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  17 สิงหาคม 2567

ที่มา https://www.dailynews.co.th/news/3756583/

ประเทศไทยการจัดทำ Roadmap การจัดการขยะพลาสติกของประเทศ พ.ศ. 2561-2573 เพื่อใช้เป็นกรอบและทิศทางการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการจัดการขยะพลาสติกของประเทศ

โดยมี เป้าหมายการลดและเลิกใช้พลาสติกด้วยการใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการนำขยะพลาสติกเป้าหมายกลับมาใช้ประโยชน์ ได้ร้อยละ 100 ภายในปี 2570 โดยเป้าหมายดังกล่าวสอดคล้องกับความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายของประเทศไทย สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

ประเทศไทยได้ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีปัญหาขยะพลาสติกในทะเลเป็นอันดับ 6 ของโลก โดยมีการเก็บขยะพลาสติกประมาณ 2.5 ล้านตันต่อปี มีสัดส่วนระบบจัดการได้อย่างถูกต้องและสามารถนำมาสู่การรีไซเคิลได้เพียง 25% ที่เหลืออีก 75% ถูกนำไปฝังกลบ เผา หรือกองทิ้งเล็ดลอดออกสู่คลอง แม่น้ำ และปลายทางที่ทะเล


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  16 สิงหาคม 2567

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/environment/1140279

สมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย (TOCA) ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าขับเคลื่อนการท่องเที่ยววิถีอินทรีย์ หรือ Organic Tourism เป็นเสน่ห์และจุดขายทางการท่องเที่ยวใหม่ของประเทศ พร้อมสานพลังผู้บริโภค เกษตรกรอินทรีย์ ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และนักวิชาการ ร่วมขยายสังคมอินทรีย์ทั้งระบบ ชูจุดเด่น คุณค่าของการท่องเที่ยววิถีอินทรีย์ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

นายอรุษ นวราช นายกสมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย เปิดเผยว่า จากการทำงานร่วมกันของสมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย (Thailand Organic Consumer Association หรือ TOCA) และเครือข่ายพันธมิตรตลอดห่วงโซ่สังคมอินทรีย์ ทั้งเกษตรกรอินทรีย์ ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร นักวิชาการ และเครือข่ายผู้บริโภคอินทรีย์ ในจังหวัดต่าง ๆ ที่ TOCA ได้เข้าไปดำเนินงานเชื่อมโยงการพัฒนา แอปพลิเคชัน “TOCA Platform” ให้เป็นจุดเชื่อมต่อคนในสังคมอินทรีย์ทั้งระบบ เป็นที่น่าดีใจที่ปัจจุบันผู้บริโภคในประเทศไทยมีความตระหนักรู้และเข้าใจคุณค่า ประโยชน์ของการบริโภคอาหารอินทรีย์ ในหลากหลายมิติมากขึ้น

ด้านนางน้ำฝน บุณยะวัฒน์ รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน ททท. กล่าวว่า แนวคิดและกิจกรรมท่องเที่ยววิถีอินทรีย์นั้นสอดคล้องและตรงกับกับนโยบายของรัฐบาล และยุทธศาสตร์ของ ททท. ภายใต้ BCG Economy Model เพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยในอนาคตให้เติบโตอย่างยั่งยืน

โดยในปัจจุบัน แคมเปญ Amazing Organic ททท. มีการสื่อสารและจัดกิจกรรมหลากหลาย เพื่อจุดประกาย ให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลก ที่สามารถร่วมได้ทันที และทำได้ง่ายมาก คือ เริ่มจาก เปลี่ยนมากินอาหารอินทรีย์ และหันมาท่องเที่ยววิถีอินทรีย์ ที่ในกระบวนการผลิตนอกจากเกษตรกรอินทรีย์ ซึ่งนอกจะไม่ใช้สารเคมีในการทำเกษตรแล้ว ยังช่วยดูแลความหลากหลายทางชีวภาพให้กับโลกด้วย


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  15 สิงหาคม 2567

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ (https://www.thairath.co.th/news/local/2807955)

        โครงการตามพระราชดำริใน “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ” สร้างน้ำ-เพิ่มป่า-พัฒนาชีวิตแบบพอเพียง เป็นต้นแบบการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อความยั่งยืน และสร้างประโยชน์ในทุกมิติ

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 67 สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เปิดเผยว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ โดยมิทรงย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก แม้หนทางจะทุรกันดารเพียงใด หวังเพียงให้พสกนิกรชาวไทยได้มีอาชีพ มีรายได้พอที่จะเลี้ยงดูครอบครัว และพึ่งพาตัวเองได้ ทรงนำงานศิลปะพื้นบ้านและงานหัตถศิลป์อันงดงามหลากหลาย ซึ่งเป็นฝีมือชาวบ้านมาส่งเสริมให้เป็นอาชีพจนเกิดโครงการศิลปาชีพที่ช่วยให้ราษฎรมีอาชีพ มีผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศมากมายมาจวบจนปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังทรงให้ความสำคัญกับปัญหา ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะป่าไม้ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ แนวพระราชดำริให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างพึ่งพาเกื้อกูลกัน สะท้อนให้เห็นถึงพระวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ในการรักษาป่าไม้เพื่อส่งต่อให้แก่ลูกหลานไทย จึงเป็นที่มาของโครงการป่ารักน้ำ ที่ทรงริเริ่มตั้งแต่ปี 2525 โดยมีพระราชดำริ ณ บริเวณอ่างเก็บน้ำคำจวงบ้านถ้ำติ้ว ต.ปทุมวาปี อ.ส่องดาว จ.สกลนคร พร้อมกับพระราชทานเงินของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ และเงินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อจัดตั้งกองทุนอาชีพสำหรับโครงการป่ารักน้ำ และขยายโครงการไปยังพื้นที่ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ที่เกี่ยวเนื่องกับการอนุรักษ์ผืนป่าให้คงความสมบูรณ์

ต่อมาในปี 2543 เกิดโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริขึ้นแห่งแรกที่ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ และขยายไปยังพื้นที่ต่างๆ รวม 18 แห่ง ประกอบด้วยพื้นที่ จ.เชียงใหม่ 8 แห่ง จ.เชียงราย 4 แห่ง จ.น่าน 3 แห่ง และอีก 3 แห่ง ได้แก่ จ.พิษณุโลก จ.พะเยา และ จ.กำแพงเพชร มุ่งเน้นการทำแปลงสาธิต ด้านการเกษตรเพื่อแก้ปัญหาการขาดความรู้ทางการเกษตรที่เหมาะสม กับสภาพพื้นที่สูงของราษฎร ทรงส่งเสริมให้ปลูกพืชเมืองหนาวที่ใช้พื้นที่น้อยแต่ได้ประโยชน์สูงสุด ลดการใช้สารเคมีพร้อมกับฟื้นฟูสภาพป่าเพื่อเป็นแหล่งต้นน้ำ ที่จะสร้างแหล่งอาหารให้ราษฎรในขณะเดียวกัน ก็ให้ปลูกฝังความรู้เห็นความสำคัญของป่าไม้ ไม่ตัดไม้ทำลายป่าเพื่อให้ป่าคงความอุดมสมบูรณ์ ปัจจุบันราษฎรในพื้นที่โครงการสามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคง และพัฒนาต่อยอดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศนำรายได้สู่ชุมชนเพิ่มเติมอีกด้วย

โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ เป็นอีกโครงการที่ช่วยแก้ปัญหาความยากลำบากของราษฎร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยชนเผ่า จึงมีพระราชดำริให้จัดตั้ง “ฟาร์มตัวอย่าง” ขึ้น สำหรับเป็นแหล่งจ้างงาน และฝึกอาชีพด้านการเกษตรที่ถูกต้อง โดยจัดตั้งขึ้นแห่งแรกที่บ้านขุนแตะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์พื้นเมืองชนิดต่างๆ ปลูกพืชผักเมืองหนาวที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้เพื่อให้ราษฎรมีแหล่งอาหารโปรตีน และขยายโครงการไปทุกภาคของประเทศกว่า 56 แห่ง อาทิ บ้านแม่ตุงติง อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่, บ้านแม่ต๋ำ อ.เสริมงาม จ.ลำปาง, บ้านหนองหมากเฒ่า อ.เมืองสกลนคร จ.สกลนคร, บ้านโคกปาฆาบือซา อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส, บ้านทุ่งคลองชีพ อ.บางแก้ว จ.พัทลุง, ฟาร์มทะเลตัวอย่าง ต.บางแก้ว อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี และฟาร์มตัวอย่างบ้านบ่อหวี ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เป็นต้น


Thai PBS  14 สิงหาคม 2567

กรมโรงงาน ชี้ "ฝุ่นแดง" เข้าข่ายของเสียอันตรายผิดอนุสัญญาบาเซล ยังไม่พบเรือขนส่งสินค้า MAERSK CAMPTON ขอนำเข้ากากของเสีย 816 ตันใส่ตู้คอนเทนเนอร์ผ่านเข้าน่านน้ำไทย แต่ยังเฝ้าระวังใกล้ชิด

กรณีมีกระแสข่าวว่าจะมีเรือขนฝุ่นแดง กากของเสียอันตรายบรรทุกขึ้นเรือ MAERSK CAMPTON ใส่ตู้คอนเทนเนอร์กว่า 100 ตู้ต้นทางจากประเทศแอลเบเนีย มุ่งหน้าปลายทางเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบังประเทศไทย ตามกำหนดจะถึงไทย 20 ส.ค.นี้ 

ชี้ "ฝุ่นแดง" ของเสียอันตรายผิดอนุสัญญาบาเซล

วันนี้ (14 ส.ค.2567) นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ขณะนี้กองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม ร่วมกับหน่วยข่าวกรอง และกรมศุลกากร ติดตามและยับยั้งการเคลื่อนย้ายของเสียแบบผิดกฎหมายด้วยเรือขนส่งสินค้า MAERSK CAMPTON จำนวน 2 ลำ ที่มีต้นทางจากประเทศแอล บาเนีย ปลายทางประเทศไทย

ทั้งนี้ คาดว่าเป็นการขน Electric Arc Furnace dust หรือฝุ่นแดง จากอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก 816 ตัน 100 ตู้คอนเทนเนอร์จากแอลบาเนีย ซึ่งเข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล และเป็นของเสียเคมีวัตถุตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535

โดยประเทศไทย ไม่เคยได้รับการแจ้งขอความยินยอมการนำเข้าของเสียดังกล่าว รวมทั้งไม่เคยยินยอม หรืออนุญาตให้มีการนำเข้าของเสีย จึงถือเป็นการเคลื่อนย้ายของของเสียอันตรายแบบผิดกฎหมายภายใต้อนุสัญญาบาเซล

ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2565 ประเทศไทยเคยมีหนังสือถึงรัฐบาลประเทศแอลบาเนีย ไม่ยินยอมให้นำเข้าของเสียดังกล่าวมาไทย ส่วนเคสล่าสุดกรมโรงงานอุตสาห กรรม ประสานงานอย่างใกล้ชิด กับหน่วยงานผู้มีอำนาจ (CA) ของประเทศแอลบาเนีย ประเทศต้นทาง และหน่วยงาน National Environment Agency (CA ของประเทศสิงคโปร์) ซึ่งเป็นประเทศผู้นำผ่าน คาดการณ์ว่าจะมีการถ่ายลำเรือของเสียดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ จึงให้เฝ้าระวังบริเวณท่าเรือและยับยั้งการเคลื่อนย้ายของเสียดังกล่าว


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  13 สิงหาคม 2567

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/news/3737133/

นายศิริวัฒน์ บุบผาเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ นายอนุวัติ อุปนันไชย ประมงจังหวัดอุตรดิตถ์ นายวุฒิไกร สร่างนิทร ผู้อำนวยการเขื่อนสิริกิติ์ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน ได้เข้าสำรวจพื้นที่หมู่บ้านประมงน้ำจืด ชุมชนเลี้ยงปลากระชังภายในอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ หลังรับแจ้งพบปลาหมอบัตเตอร์กำลังแพร่พันธุ์เป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อประชากรสัตว์น้ำทุกชนิด รวมถึงพันธุ์ปลาดั้งเดิมลดลงอย่างต่อเนื่อง

นายกนกศักดิ์ จุลบุตร ประมงจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า พบปลาหมอบัตเตอร์ที่เขื่อนสิริกิติ์ มาได้ประมาณ 10 ปี ซึ่งตอนนั้นมีจำนวนไม่มาก แต่ในระยะ 1 – 2 ปีมานี้ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน ออกหาปลาดักข่าย ปลา 100 ตัว พบเป็นปลาหมอบัตเตอร์ 10 – 20 ตัวต่อการจับโดยประมาณ

นายศิริวัฒน์ กล่าวว่า ปลาหมอบัตเตอร์ เป็น 1 ใน 3 ปลาหมอต่างถิ่นที่ห้ามนำเข้า ส่งออก หรือเพาะเลี้ยง ตั้งแต่ปี 2561 พร้อมกับปลาหมอสีคางดำ และปลาหมอมายัน ซึ่งในปัจจุบันพบแพร่พันธุ์ในอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ ส่งผลทำให้พันธุ์ปลาดั้งเดิมลดน้อยลง และเข้าไปแทนที่ปลาประจำถิ่นบางชนิดแล้ว เบื้องต้นประสานไปยังประมงจังหวัด และศูนย์ประมงเขตพิษณุโลก เร่งสำรวจอัตราการเจริญเติบโตของปลาดังกล่าวในเขื่อนสิริกิติ์

ทั้งนี้ จะมีการควบคุมไม่ให้มีการขยายไปยังแหล่งน้ำธรรมชาติ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ไปยังชาวประมง และผู้เลี้ยงพันธุ์สัตว์น้ำภายในเขื่อนสิริกิติ์ ช่วยในการแจ้งจุดการระบาด และห้ามเพาะเลี้ยงอย่างเด็ดขาด


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  12 สิงหาคม 2567

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ (https://www.thairath.co.th/agriculture/agricultural-policy/2806582)

กรมชลประทาน เผยสถานการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่เริ่มลดลง หลังฝนตกต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือ ตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก พร้อมเฝ้าระวังในหลายพื้นที่ลุ่มน้ำอย่างใกล้ชิด ขณะที่ 4 เขื่อนใหญ่ลุ่มเจ้าพระยามีน้ำอยู่ที่ 45% ของความจุอ่างรวมกัน ส่วน เขื่อนป่าสักฯ มีน้ำไหลเข้าต่อเนื่อง

กรมชลประทาน เปิดเผยว่า เนื่องด้วยขณะนี้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ส่งผลให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนอง และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตกทำให้ปัจจุบัน (7 ส.ค. 67) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 43,634 ล้าน ลบ.ม. (57% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) ยังสามารถรับน้ำได้อีก 32,703 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 11,138 ล้าน ลบ.ม. (45% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) สามารถรับน้ำได้อีก 13,733 ล้าน ลบ.ม. สถานการณ์น้ำท่วมส่วนใหญ่มีแนวโน้มลดลง คงเหลือแต่ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำโขง และลุ่มบางบางปะกงที่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำสะสมในพื้นที่ โดยในส่วนของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2..อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำไหลผ่านอยู่ในอัตรา 1,206 ลบ.ม./วินาที (เมื่อวาน 1,208 ลบ.ม./วินาที) ระดับน้ำยังคงต่ำกว่าตลิ่ง กรมชลประทาน ได้ทำการรับน้ำจากทางตอนบนเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาเท่าที่จำเป็น พร้อมควบคุมการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ให้คงอยู่ในอัตรา 800 ลบ.ม./วินาที  เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่จะเพิ่มขึ้นจากฝนที่ตกในระยะนี้   ซึ่งจะทำระดับน้ำท้ายเขื่อนเพิ่มขึ้น โดยมีพื้นที่เฝ้าระวังระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำบริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ต.หัวเวียง อ.เสนา, ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย)  ด้านพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก ที่มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์อย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้มีการทยอยปรับการระบายน้ำให้อยู่ในอัตรา 80 ลบ.ม./วินาที เพื่อควบคุมระดับน้ำในอ่างฯ ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมอีกประมาณ 20–30 ซม. โดยระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นยังอยู่ในลำน้ำ ไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ริมตลิ่ง ทั้งนี้ ได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ประชาสัมพันธ์แจ้งประชาชนให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำจากหน่วยงานทางราชการอย่างใกล้ชิดเนื่องจากยังมีฝนตกในพื้นที่ ในขณะที่หลายพื้นที่สถานการณ์น้ำเริ่มคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว  แต่ยังคงมีพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยอยู่ กรมชลประทาน ยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ พร้อมติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ รวมทั้งบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนถึงสถานการณ์น้ำให้ประชาชนรับรู้รับทราบอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง  เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนให้ได้มากที่สุด ตามข้อสั่งการของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์


© 2025 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.