• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  20 เมษายน 2567

ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์  (https://www.dailynews.co.th/news/3353442/)

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือทส. ได้แนะนำการบริหารจัดการขยะที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า ส่วนใหญ่จะเป็นขยะอาหารรองลงมาเป็นขยะบรรจุภัณฑ์ ขยะทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นขวดนํ้าพลาสติก ถุงขนม กล่องใส่อาหาร ซองพลาสติกบรรจุของอุปกรณ์เล่นนํ้าสงกรานต์ ซึ่งการจัดการขยะในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดไม่ได้มีมาตรการรองรับหรือรณรงค์ให้ประชาชนป้องกันไม่ให้เกิดขยะตั้งแต่ต้น เช่น การไม่นำขยะเข้ามาภายในงาน นำเฉพาะอุปกรณ์มาเล่นนํ้าเท่านั้น หรือการลดการเกิดขยะโดยใช้ภาชนะที่สามารถใช้ซํ้าได้ และเตรียมภาชนะในการคัดแยกขยะวางไว้จุดต่าง ๆ เพื่อสะดวกในการรวบรวม เป็นต้น จะส่งผลให้มีปริมาณขยะจำนวนมากปะปนกันซึ่งจะเป็นภาระกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเองในการเก็บรวบรวม ขนส่งและกำจัด ทั้งนี้ เมื่อเกิดเป็นขยะแล้วองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่มีการจัดงานควรดำเนินการ ดังนี้

1.ทำความสะอาด และขนย้ายขยะทั้งหมดไปยังสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยทันทีภายหลังการจัดงาน

2.คัดแยกขยะที่ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ อันได้แก่ ขยะรีไซเคิลหรือขยะบรรจุภัณฑ์ เพื่อนำไปทำความสะอาดและจำหน่ายกับร้านรับซื้อของเก่าเพื่อลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปกำจัด

3.กรณีที่สถานที่จัดงานที่มีการแยกโซนอาหารหรือแยะขยะอาหารให้นำขยะอาหารไปใช้ประโยชน์ เช่น อาหารสัตว์ ปุ๋ยหมัก นํ้าหมัก เป็นต้น

4.นำขยะที่เหลือจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์แล้วไปกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการต่อไปหากมีมาตรการรองรับในการจัดการกับขยะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่เหมาะสมจะช่วยลดปริมาณขยะและสามารถนำขยะไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเสียเวลาหรืองบประมาณในการดำเนินการภายหลัง ดังนั้น หากพื้นที่ใด ยังคงมีงานฉลองเทศกาลสงกรานต์ต่อเนื่อง หรือจะจัดงานรื่นเริงอื่นใดก็สามารถดำเนินการหรือประยุกต์ใช้ได้ตามมาตรการในการจัดการขยะ ดังนี้

1. ไม่ให้นำขยะเข้าภายในงาน สามารถนำเฉพาะอุปกรณ์เล่นน้ำเท่านั้น และมีจุดบริการน้ำ หรือขายน้ำภายในงาน วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด เข้ามาภายในงานตัวเปล่า ไม่เกิดขยะ

2. จัดจุดสำหรับทานอาหารโดยเฉพาะ เพื่อควบคุมให้สามารถจัดการแยกขยะเศษอาหารต่าง ๆ ไปจัดการได้ ไม่เปื้อนในบริเวณอื่น รวมถึงงดการใช้ภาชนะแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ใช้ภาชนะที่สามารถใช้ซ้ำ เพื่อลดขยะ และไม่ให้นักท่องเที่ยวนำออกนอกบริเวณที่กำหนดไว้

3. จัดเตรียมภาชนะสำหรับทิ้งขยะ บริเวณใกล้ทางเข้าและทางออกของสถานที่จัดงานเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว

4. ทานอาหารให้เรียบร้อยก่อนจะมาเล่นน้ำในสถานที่จัดงาน จะได้ไม่มีเศษอาหารต้องทิ้งในงาน และไม่นำสิ่งที่เป็นขยะเข้าไปในงาน

5. เล่นน้ำและใช้อุปกรณ์เล่นน้ำแบบปกติที่สามารถใช้ซ้ำได้ ถ้าน้ำหมดสามารถไปเติมตามจุดบริการต่าง ๆ ได้เพียงเท่านี้ ประชาชนทุกคนจะสนุกในทุกงานและเทศกาล ไม่สร้างภาระขยะให้ต้องตามมาเก็บ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  19 เมษายน 2567

ที่มา https://www.prachachat.net/sd-plus/sdplus-sustainability/news-1545483

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เปิด 10 เรื่องต้องรู้ Green Chongqing การพัฒนานครฉงชิ่งสู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สมาคมด้านพลังงานของเมืองฉงชิ่ง ร่วมมือกันจัดการประชุมและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาเมือง โดยได้เชิญนักวิชาการจากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ซึ่งมี “เบญจมาส โชติทอง” และ “วิลาวรรณ น้อยภา” เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ พร้อมได้เรียบเรียงข้อมูลเกี่ยวกับGreen Chongqing 10 เรื่องต้องรู้ นครฉงชิ่งสู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ 1.ด้านภูมิทัศน์2.บทบาททางสังคม 3.การขยายชุมชนเกษตรอินทรีย์ 4.การแยกสีป้ายทะเบียนรถยนต์ 5.การพัฒนาเทคโนโลยีระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 6. สถานีสลับแบตเตอรี่สำหรับรถแท็กซี่ไฟฟ้า 7.การเกิดธุรกิจด้านพลังงานสะอาด 8.การให้บริการแบบครบวงจรของบริษัทผลิตอุปกรณ์ด้านพลังงานแสงอาทิตย์ 9. พัฒนาระบบเก็บพลังงาน (Energy storage) ในรูปแบบต่าง ๆ 10. ความร่วมมือวิจัยด้านพลังงาน เทคโนโลยี และนวัตกรรมของนักวิชาการ

การพัฒนาด้านพลังงานสะอาดของจีนรุดหน้าไปมาก ได้มีการพัฒนาโครงสร้างทางพลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิลกระจายทั่วประเทศ แต่ปัจจุบันจีนยังใช้แหล่งพลังงานส่วนใหญ่จากถ่านหินกว่า 50% และน้ำมันดิบเกือบ 20%ขณะเดียวกันจีนมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  18 เมษายน 2567

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/environment/1122216

เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมกลายเป็นอีกหนึ่งแขนงของนวัตกรรมที่ได้รับความสนใจทั่วโลก เนื่องจากสภาวะวิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ส่งผลให้นานาชาติหันมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยวิถีทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น หนึ่งในเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจคือ พลังงานสะอาด เช่น พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมไร้คาร์บอน อย่างไรก็ตาม ยังมีพลังงานอีกชนิดหนึ่งที่ทั่วโลกให้ความสนใจอย่างยิ่ง คือ Green Hydrogen ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสีเขียวที่สะอาด ปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ไฮโดรเจน คือ ธาตุที่สามารถนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม แต่การนำไฮโดรเจนออกมาใช้ต้องมีการแยกไฮโดรเจนจากสิ่งอื่น ๆ เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งกระบวนการผลิตจะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในชั้นบรรยากาศ ทำให้ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร Green Hydrogen จึงกลายเป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยแก้ปัญหานี้ เนื่องจากวิธีการผลิต Green Hydrogen นั้น แทบจะไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ การผลิตใช้เชื้อเพลิงทางเลือกที่มาจากแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำ อาทิ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้ Green Hydrogen เปรียบเสมือนพลังงานแห่งอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่ทำลายระบบนิเวศวิทยา

โดยปกติก๊าซไฮโดรเจนสามารถถูกพบได้น้อยตามธรรมชาติ เช่น ใต้พื้นผิวโลก ไฮโดรเจนชนิดนี้ถูกเรียกว่า White Hydrogen ส่วนก๊าซไฮโดรเจนชนิดอื่น ๆ นั้นสามารถแบ่งได้ตามวิธีการสังเคราะห์ ซึ่งประกอบด้วย 3 รูปแบบหลัก ได้แก่

1. Grey hydrogen คือ ไฮโดรเจนที่ผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใช้แล้วหมดไป เช่น ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากกระบวนการผลิตมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้เกิดมลภาวะในชั้นบรรยากาศเป็นจำนวนมาก

2. Blue hydrogen คือ ไฮโดรเจนที่ผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเช่นเดียวกับ Grey hydrogen แต่มีการใช้เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไว้ในพื้นดิน ทำให้ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นไฮโดรเจนทางเลือกที่สะอาดกว่า

3. Green hydrogen คือ ไฮโดรเจนที่ผลิตขึ้นจากแหล่งพลังงานสะอาด อาทิ ลม แสงอาทิตย์ และน้ำซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตและสามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  17 เมษายน 2567

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ (https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2778759)

จบสงกรานต์ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ส่องกองทัพ เจ้าหน้าที่ กทม. ระดมกวาดถนน “ข้าวสาร” เคลียร์ขยะทำความสะอาดพื้นที่ พบปืนฉีดน้ำ ถังน้ำ พลาสติก เกลื่อน วันที่ 16 เม.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร บุกถนนข้าวสาร เขตพระนคร ตรวจพื้นที่และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ฮีโร่ตัวจริงผู้อยู่เบื้องหลังความสะอาดถนนข้าวสารหลังจบงานสงกรานต์เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยเดินลัดเลาะไปตามถนนรามบุตรี ทะลุถนนจักรพงษ์ ซึ่งพื้นถนนขาวโพลนไปด้วยแป้ง ขยะ ขวดแก้ว ลังกระดาษ ปืนฉีดน้ำ ถังน้ำ กระป๋องแป้ง ฯลฯ โดยเจ้าหน้าที่เริ่มทำความสะอาดตั้งแต่เวลา 04.00 น. พร้อมรถน้ำกว่า 6 คัน เก็บกวาดขยะ จัดเก็บอุปกรณ์ และฉีดล้างทำความสะอาดถนนข้าวสาร และพื้นที่โดยรอบ ซึ่งคาดว่าจะทำความสะอาดแล้วเสร็จในช่วงบ่ายวันนี้ “หลังทุกคนสนุกกัน จากนั้นก็เป็นหน้าที่เราที่ต้องมาล้างทำความสะอาดกันต่อไป ขอบคุณพี่กวาดทุกคนผู้ที่ช่วยทำให้เมืองเราเรียบร้อยขึ้น” ซึ่งจากการจัดงานสงกรานต์ถนนข้าวสารในปีนี้ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ได้กำชับให้เขตพระนครถอดบทเรียน คือ ในช่วงจัดงานวันแรกมีหาบเร่แผงลอยที่ตั้งกีดขวางทางเท้าทำให้เดินยาก ต่อมาวันที่ 14 เม.ย. เขตฯ ได้ย้ายแผงค้าออก เพื่อให้เคลื่อนตัวได้ดีขึ้น การจัดทางเข้างานแบบ One..Way..แม้เดินอ้อมขึ้น แต่ทำให้คนเดินได้สะดวก รวมถึงเพิ่มเสาปลอดภัยอัจฉริยะด้วย ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานเขตพระนคร ปริมาณขยะถนนข้าวสารและพื้นที่โดยรอบ ระหว่างวันที่ 12-14 เม.ย. 67 รวมทั้งสิ้น 116 ตัน แบ่งเป็น วันที่ 12 เม.ย. จำนวน 12 ตัน วันที่ 13 เม.ย. จำนวน 15 ตัน วันที่ 14 เม.ย. จำนวน 15 ตัน รวม 3 วัน จำนวน 42 ตัน และพื้นที่โดยรอบถนนข้าวสาร รวม 74 ตัน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  16 เมษายน 2567

ที่มา https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2775786

ขยะพลาสติกเป็นปัญหาใหญ่ด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย และหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ทำให้เกิดขยะพลาสติกตกค้างในสิ่งแวดล้อม คือ การไม่คัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง การทิ้งขยะพลาสติกกระจัดกระจาย ก่อให้เกิดปัญหาการอุดตันตามท่อระบายน้ำ ขยะลอยในแม่น้ำลำคลอง บางส่วนไหลลงสู่ทะเล

“ฝาพลาสติก” เป็นหนึ่งใน 5 อันดับแรกของขยะที่พบมากที่สุดบนชายหาดทั่วโลก เพราะ “ฝาขวด” มักถูกทิ้งไว้กระจัดกระจาย ไม่ได้ติดอยู่กับตัวขวด ทำให้ยากต่อการเก็บรวบรวม โออิชิ กรีนทีในฐานะผู้ผลิต จึงมีความมุ่งมั่นร่วมแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการสร้างสรรค์ฝาขวด PET ดีไซน์ใหม่ หรือฝาขวดรักษ์โลก ที่ติดอยู่กับขวด เพื่อลดการทิ้งขยะแยกชิ้น

โดยได้ตั้งเป้าเปลี่ยนฝาขวดดีไซน์ใหม่กับผลิตภัณฑ์ทุกรสชาติและทุกขนาด ประเดิมในไตรมาส 2/2567 ซึ่งเราหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งก้าวของการสร้างความยั่งยืนให้กับโลก และเชื่อว่าจะสร้างประสบการณ์การดื่มที่ดีขึ้นให้กับผู้บริโภค เพราะเมื่อเปิดขวดแล้ว ฝาขวดยังคงอยู่กับขวด โดยไม่ต้องแยกถือขวดกับฝา


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  15 เมษายน 2567

ที่มา: https://www.technologychaoban.com/bullet-news-today/article_274831

กรมประมง ได้จัดตั้งโครงการ “ขยะคืนฝั่ง ทะเลสวยด้วยมือเรา” ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดติดทะเลจำนวน 23 จังหวัด และได้นำหลักโมเดลเศรษฐกิจ BCG Model มาประยุกต์ใช้ผ่านกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ภายใต้การมีส่วนร่วมของชาวประมง องค์กรชุมชนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาขยะทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมประมงได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการขยะ ซึ่งถือเป็นปัญหาระดับประเทศที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือและให้ความสำคัญ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล และส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อการประกอบอาชีพการทำการประมง โดยการนำแนวคิดไม่สร้างขยะในท้องทะเลและการเก็บขยะในท้องทะเลมาแปลงเป็นทุน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ปลูกจิตสำนึกและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงมีการประชาสัมพันธ์ ถ่ายทอดความรู้ถึงปัญหาที่มาของขยะในทะเลและวิธีจัดการกับขยะอย่างถูกต้องเพื่อเป็นการแก้ปัญหาขยะทะเลได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการให้ความสำคัญในพัฒนาการประมงด้วยหลักโมเดลเศรษฐกิจ BCG Model การใช้ประโยชน์ทรัพยากรประมงและสิ่งแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ของไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการเกษตรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573 และ แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2563 – 2565 เพื่อร่วมกันนำขยะขึ้นมาจากทะเลและนำไปกำจัด สร้างการตระหนักรู้ และการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วน อันจะทำให้ทะเลไทย เป็น “ทะเลสะอาด”

โดยล่าสุด กรมประมงร่วมกับสมาคมประมงบ้านแหลม ชาวประมงพาณิชย์จังหวัดเพชรบุรี และภาคเอกชนผู้ประกอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ได้มีการขยายผลนำขยะทะเลที่เก็บได้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแปรรูปผลิตภัณฑ์ โดยมีกรรมวิธีผลิตด้วยการหลอมแปรรูปขยะเป็นเส้นใยรีไซเคิลผสมกับเส้นใยอื่น จากนั้นนำไปถักทอขึ้นรูปใหม่เป็นเสื้อ โดยเสื้อ 1 ตัวผลิตจากขยะขวดพลาสติกจำนวน 8.5 ขวด ซึ่งเป็นขยะพลาสติกที่ถูกเก็บรวบรวมจากทะเล สอดรับแนวคิดในการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนสูงสุด เปลี่ยนขยะให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า ลดขยะพลาสติกและลดโลกร้อน ผลักดันให้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ขยายออกไปในวงกว้าง ด้วยแนวคิด “Extended Producer Responsibility (EPR)” คือ การขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตครอบคลุมตลอดห่วงโซ่วงจรผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ผลิตไปจนถึงขั้นตอนหลังการบริโภค


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  14 เมษายน 2567

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/local/2777281

“เราสามารถนำของเหลือใช้อย่างแกลบและขยะโซลาร์เซลล์มาทำให้เป็นวัสดุขั้วไฟฟ้า ที่มีชื่อว่า นาโนซิลิกอน ในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนได้ บ้านเรามีแกลบเป็นของเหลือทิ้งทางการเกษตรปริมาณมหาศาล แต่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมมูลค่าไม่สูงมาก แถมมูลค่าเหล่านั้นไม่ได้คืนกลับสู่เกษตรกรแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีขยะโซลาร์เซลล์ ที่หมดอายุการใช้งานราว 4,000 ตัน ในปี 2565 คาดการณ์ว่าอีก 20 ปีข้างหน้าขยะโซลาร์เซลล์จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นถึงหลักล้านตัน และบ้านเราไม่มีกระบวนการนำโซลาร์เซลล์ที่พังมารีไซเคิลเป็นแผงโซลาร์เซลล์ใหม่ หรือผลิตเป็นอย่างอื่น เพราะมองว่าต้นทุนสูง ไม่คุ้มที่จะลงทุน ที่ผ่านมาจึงกำจัดด้วยการทิ้งในหลุมฝังกลบแทบทั้งหมด เมื่อฝนตกน้ำท่วม สารเคมีที่อยู่ในนั้นก็อาจจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมได้”

รศ.ดร.นงลักษณ์ มีทอง อาจารย์สาขาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ผู้อำนวยการโรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น บอกถึงโครงการที่ได้รับรางวัลชนะเลิศด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ประเภทหน่วยงานภาครัฐ จากรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2566 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ที่สามารถนำ “แกลบ” และ “ขยะโซลาร์เซลล์” เข้าไปยืนในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯในอีกไม่ถึง 10 ปีนี้

รศ.ดร.นงลักษณ์ อธิบายต่อไปว่า แบตเตอรี่มีส่วนประกอบสำคัญและมีมูลค่าสูงอยู่ 2 ส่วน คือ ขั้วไฟฟ้าฝั่งขั้วบวก หรือแคโทด (Cathode)..ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นสารประเภทลิเทียม ขั้วไฟฟ้าฝั่งขั้วลบ หรือแอโนด (Anode) มีองค์ประกอบเป็นสารประเภทกราไฟท์และซิลิกอน ปัจจุบันผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของประเทศไทยยังนำเข้าวัสดุเคมีภัณฑ์ทั้งขั้วบวกและขั้วลบจากต่างประเทศ 100% เพราะบ้านเราไม่มีเหมืองแร่เหมือนออสเตรเลีย และอเมริกาใต้ ซึ่งขั้นตอนกว่าจะได้วัสดุเคมีภัณฑ์ประเภทซิลิกอนมานั้น ต้องดูดทรายจากทะเลมาเผาด้วยอุณหภูมิกว่า 2,000 ๐C..หรือขุดภูเขาหาแร่ควอตซ์ การทำเหมืองจึงจัดเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูง หากไทยมีวัสดุที่จะช่วยให้การผลิตแบตเตอรี่เกิดขึ้นได้โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แถมยังช่วยลดการเกิดขยะให้กับโลก ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ควรได้รับการพัฒนา ทั้งนี้ โซลาร์เซลล์ 1 แผงจะมีซิลิกอนประมาณ 1 กก. ส่วนแกลบก็เป็นพืชที่มีส่วนผสมของซิลิกอน สูงที่สุดในบรรดาพืชทั้งหมดที่เรามี ดังนั้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นพัฒนาขึ้น จะเป็นการสกัดวัสดุที่ชื่อว่า “นาโนซิลิกอน” จากแกลบและแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อใช้ผลิตเป็นขั้วลบในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ซึ่งการเอาแกลบมาทำเป็นนาโนซิลิกอนจะใช้อุณหภูมิในการเผาต่ำกว่า 600­-700 ๐C..น้อยกว่าการใช้พลังงานในอุตสาห กรรมการผลิตแร่รูปแบบเหมืองหลายเท่าตัว เพราะการทำเหมืองมันคือการขุด เผา ล้าง และทำลาย จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง ต่างจากนาโนซิลิกอนที่ได้จากแกลบและขยะโซลาร์เซลล์ ซึ่งนอกจากจะมีประสิทธิภาพมากกว่าวัสดุนาโนซิลิกอนรูปแบบเดิมแล้วยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งมีกระบวนการสังเคราะห์ที่ง่ายกว่า คนผลิตได้รับความเสี่ยงจากอันตรายที่ต่ำกว่า จึงช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับประเทศไปได้หลายเท่า ปัจจุบันนาโนซิลิกอนจากแกลบและแผงโซลาร์เซลล์ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นพัฒนาขึ้น ถูกใช้เป็นวัสดุขั้วลบในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่สามารถรองรับการทำงานได้หลากหลาย ทั้งกลุ่มอุปกรณ์พกพา กลุ่มการเดินทางและขนส่ง และกลุ่มกักเก็บพลังงาน ซึ่งแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่มีซิลิกอนเข้าไปเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตจะมีจุดเด่นตรงที่น้ำหนักเบา เก็บพลังงานความจุไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 15 ทำให้ยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้ มีระยะการขับเคลื่อนได้ไกลกว่าเดิม ลดโอกาสการระเบิด ปลอดภัยกว่าวัสดุที่ใช้ในท้องตลาดทั่วไป และรองรับการชาร์จเร็วกว่าเดิม 4 เท่า


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  13 เมษายน 2567

ที่มา https://www.springnews.co.th/keep-the-world/climate-change/849166

ปัญหาสิ่งแวดล้อมไทยยังน่าห่วง ทั้งโลกเดือด และไฟป่า ฝุ่นควัน ล่าสุดน่าห่วงสถานการณ์ทะเลเดือด-รวน พร้อมเร่งหาสาเหตุหญ้าทะเลตายทั้งอ่าวไทย-อันดามัน เกิดจากเขื่อน หรือโลกร้อน เผยสำรวจพะยูนพบแค่ 70-80 ตัว จากที่เคยเชื่อว่ามี 200 กว่าตัว

ล่าสุดจากการประเมินก่อนหน้านี้ว่ามีพะยูน 200 กว่าตัว แต่ล่าสุดจากการใช้โดรนบินลาดตระเวนทุกจังหวัดผลออกมาเราเจอพะยูนประมาณ 70-80 ตัวเท่านั้น ดังนั้นค่อนข้างน่าเป็นห่วงว่าสิ่งที่คิด และเชื่อมั่นว่าเมื่อ 2-3 ปียังเห็นอยู่เลย จ.ตรัง ที่มีสัญลักษณ์เป็นพะยูน ตอนนี้อาจจะไม่ใช่แล้ว อาจจะไม่เหลืออีกต่อไป ถ้าไม่ทำอะไรเลย ซึ่งเรื่องนี้ต้องมาทำการสำรวจใหม่ทั้งหมด

นอกจากนี้ในภาคเหนือในเรื่องไฟป่าน่าเป็นห่วง ตั้งแต่ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ขึ้นไปถึงภาคเหนือตั้งแต่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย ทำให้เกิดภาวะฝุ่นควันอย่างหนัก รวมทั้งการเผาจากประเทศเพื่อนบ้าน และวิธีแก้ฝุ่นทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องใช้ฝนหลวงอย่างเดียว ฝนหลวงก็ต้องใช้ความชื้น ถ้าความชื้นไม่ถึง 50% ก็ทำฝนหลวงไม่ได้

ปัญหาดังกล่าวได้ทับถมเป็นปัญหาซ้อนปัญหา พอฝุ่นเกิดขึ้นมาก จ.เชียงใหม่ ที่เป็นแอ่งกระทะ ฝุ่นก็กักอยู่อย่างนั้นซึ่งฝุ่นเกิดทั้งจากไฟป่า การเผาไหม้ทางการเกษตร หรือเกิดจากประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาบางครั้งการจะเปลี่ยนแปลงได้ต้องเริ่มจากจุดเล็กๆ คือตัวเองก่อน เพื่อให้เกิดความยั่งยืน


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.