• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักข่าว เอ็นบีที คอนเนค  18 กรกฎาคม 2567

นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะผู้อำนวยการกลาง เผยว่า กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง ขอความร่วมมือหน่วยงานทั้งในส่วนกลาง ในระดับพื้นที่ รวมถึงกรุงเทพมหานคร ดำเนินการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยใน ปี 2567 ร่วมกันให้เกิดความเป็นเอกภาพ เป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ดังนี้

การเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ ให้ใช้กลไกทั้งท้องถิ่นและท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชุม ตลอดจนอาสาสมัครภาคประชาชน ในการเฝ้าระวัง ติดตามแนวโน้มสถานการณ์ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดสถานการณ์อุทกภัย พร้อมทั้งแจ้งเตือนประชาชนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่และเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ทุกช่องทางการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ โดยการ “ทำที่ให้น้ำอยู่ ทำทางให้ไป” ให้จัดเตรียมพื้นที่รองรับน้ำ พื้นที่ทุ่งรับน้ำ แหล่งกักเก็บน้ำไว้ใช้ รวมทั้งเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ขุดลอกคูคลองสาธารณะ ท่อระบายน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงที่เกิดอุทกภัยเป็นประจำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำให้เต็มศักยภาพการดูแลสถานที่สำคัญ ให้เตรียมการป้องกันพื้นที่ โดยการจัดทำแนว/คันกั้นน้ำ วางแผนติดตั้งเครื่องจักรกลสาธารณภัยไว้ในพื้นที่เสี่ยงเป็นการล่วงหน้า เช่น เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ โดยเฉพาะในสถานที่สำคัญ อาทิ สถานพยาบาล โรงเรียน พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ โบราณสถาน แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ฯลฯการสร้างการรับรู้สู่ประชาชน ให้ใช้ช่องทางที่สามารถส่งข่าวสารไปถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้โดยตรง อาทิ หอกระจายข่าว เครือข่ายภาคประชาชน ฯลฯ เพื่อให้ประชาชนทราบสถานการณ์และทราบถึงสิทธิการได้รับความช่วยเหลือและหลักเกณฑ์ในการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐ รวมถึงให้มีการเตรียมความพร้อมหากจำเป็นต้องอพยพได้อย่างทันท่วงทีการเตรียมพร้อมรองรับการอพยพ ให้จัดเตรียมศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับเป็นที่พักอาศัยของผู้ประสบภัยในกรณีสถานการณ์มีความรุนแรงจนต้องอพยพกลุ่มเปาะบาง ประชาชนออกจากบ้านเรือนที่อาศัยอยู่เป็นประจำ โดยต้องพิจารณาสถานที่ที่มีความมั่นคง ปลอดภัย และไม่อยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง กรณีเกิดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ ให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ในทุกระดับ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการระดมสรรพกำลังและทรัพยากรจากหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งประสานการเผชิญเหตุระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ พลเรือน องค์ปกครองส่วนท้องถิ่น มูลนิธิ และอาสาสมัครในพื้นที่ได้อย่างมีเอกภาพ7. การให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย ให้ความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือ ด้านความปลอดภัยในชีวิตและการดำรงชีพก่อนเป็นอันดับแรก อาทิ การจัดหาอาหาร ยารักษาโรค การรักษาความปลอดภัยให้ประชาชน การจัดหน่วยแพทย์คอยดูแลสภาพร่างกายและสภาพจิตใจผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งเร่งเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว ตลอดจนขอให้กำชับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัดการขอรับการสนับสนุนทรัพยากร ขอให้ประสานการปฏิบัติการกับกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานในพื้นพื้นที่ ได้แก่ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต หรือผ่านสายด่วน 1784 หรือLINE @1784DDPM โดยพร้อมออกปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  17 กรกฎาคม 2567

ที่มา: https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2800366

“โป๊ยเซียน” สานต่อเจตนารมณ์มุ่งสร้างสรรค์สังคมแห่งการแบ่งปันสู่ความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน เปิดรับบริจาคพลาสติกเหลือใช้ สร้างถนน UPCYCLING มอบให้อุทยานประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา ลานหน้าวัดพระศรีสรรเพชญ์ สนับสนุนโครงการ GREEN ROAD ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการแปรรูปพลาสติก และเป็นศูนย์กลางรวบรวมและคัดแยกพลาสติกเหลือใช้จากทั่วประเทศ โดยใช้พลาสติกเหลือใช้ในการสร้างกว่า 9 ตัน

ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์ กรรมการและที่ปรึกษาบริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด เผยว่า ในวาระครบ 88 ปี โป๊ยเซียน มีกิจกรรมแบ่งปันส่งต่อความสุขไปสู่ทุกคน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกคน และการได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เกิดเป็นกิจกรรมรณรงค์ลดใช้พลาสติกและส่งพลาสติกเหลือใช้ ลดปัญหาขยะพลาสติกในชุมชน และใช้พลาสติกให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างถนนจากพลาสติกเหลือใช้ให้กับอุทยานประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา ลานหน้าวัดพระศรีสรรเพชญ์ จึงขอเชิญชวนทุกคนมาช่วยกันส่งพลาสติกเหลือใช้ รวมถึงหลอดยาดมโป๊ยเซียน มาร่วมสร้างถนนด้วยกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

โดยขยะพลาสติกที่สามารถบริจาคได้ ได้แก่

หลอดยาดมตราโป๊ยเซียนถุงพลาสติกยืดได้ทั่วไปขยะพลาสติกประเภทบรรจุภัณฑ์ห่อสิ่งของขยะพลาสติกประเภท แก้วน้ำขยะพลาสติกประเภท ถุงวิบวับ หรือถุงอลูมิเนียมฟอยล์ขยะพลาสติกประเภทหลอดบีบ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  16 กรกฎาคม 2567

ที่มา : Thairath.co.th (https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2800835)

สผ. ร่วมกับ สถาบันสิ่งแวดล้อม จัดการสัมมนา รับฟังความเห็น-ข้อเสนอแนะ ต่อร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2567 พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลง มุ่งสู่อนาคตสิ่งแวดล้อมไทยที่ยั่งยืน วันที่ 15 กรกฎาคม 2567 ณ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ โฮเต็ล ประตูน้ำ กรุงเทพฯ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ร่วมกับ สถาบันสิ่งแวดล้อม (TEI)..จัดการสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2567 และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

นายจิรวัฒน์ ระติสุนทร รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการจัดทำรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ดำเนินงาน ตามที่พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 กำหนดให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ นำเสนอรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศ ต่อคณะรัฐมนตรีอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำคัญให้คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้ประกอบการตัดสินใจกำหนดนโยบาย แผน และมาตรการในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 สผ. ร่วมกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย จัดทำรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2567 โดยติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายสาขา จำนวน 11 สาขา ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนข้อมูล ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่อการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ร่างรายงานคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2567 ได้นำเสนอข้อมูลด้านปัจจัยขับเคลื่อน (Drivers) ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทั้งปัจจัยที่มาจากภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัว รวมทั้งภาวะทางสังคมในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค เงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศ และนโยบายของประเทศ ทำให้เกิดปัจจัยกดดัน (Pressure)..ที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงคุณภาพสิ่งแวดล้อม (State)..ทั้งทางบวกและทางลบ นำไปสู่ผลกระทบ (Impact)..ต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การแก้ไขปัญหา (Response)..ที่เกิดจากการดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ ส่วนท้ายของร่างรายงานฯ ได้นำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มเกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น ทั้งการขยายตัวการใช้ดินของพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างจากการขยายตัวของเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน การใช้พลังงานทดแทนจากเซลล์แสงอาทิตย์มากขึ้น จากนโยบายส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ การสะสมฝุ่นละอองขนาดเล็ก จากการเผาไหม้ในพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่เกษตร การเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำท่า ที่คาดการณ์ได้ยากขึ้น ปะการังและหญ้าทะเลมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อสมดุลของระบบนิเวศ และปริมาณขยะในแหล่งท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการจัดการขยะในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  15 กรกฎาคม 2567

ที่มา https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9670000059941

โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งองค์การสหประชาชาติ United Nations Environment Program (UNEP) ประกาศแนวคิดธีม “Planet VS Plastics: ลดพลาสติก กู้วิกฤติโลกเดือด” เมื่อวันคุ้มครองโลกที่ผ่านมา (22 เม.ย.67) พร้อมคาดหวังให้แต่ละประเทศรวบรวมปริมาณพลาสติก ที่เก็บรวบรวมได้นำมาคำนวณในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งได้มีการกำหนดเป้าหมายในการลดการใช้พลาสติกจากกระบวนการผลิต ร้อยละ 60 ภายในปี ค.ศ. 2040 รวมถึงส่งเสริมให้มีการลงทุนในเทคโนโลยีและวัสดุที่เป็นนวัตกรรมเพื่อทดแทนพลาสติก

ทำให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมไทย ออกมาร่วมแสดงพลังความร่วมมือในการลดใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง และนำมาสู่แนวคิด 4 ป.เพื่อลดปัญหาขยะพลาสติกที่ประชาชนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างคุ้มค่าที่สุด คือ ปฏิเสธ พลาสติกใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งปรับพฤติกรรมใช้พลาสติกให้คุ้มค่าที่สุด เปลี่ยนไปใช้บรรจุภัณฑ์จากธรรมชาติ แปลงร่างเพิ่มมูลค่าให้กับขยะพลาสติก (ผ่านกระบวนการ Recycle หรือ Upcycling) เพื่อให้มีการใช้พลาสติกอย่างคุ้มค่า


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  14 กรกฎาคม 2567

ที่มา: https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_777777826624

นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับที่ 9 ของโลก ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้เร่งขับเคลื่อนทุกภาคส่วนร่วมกันยกระดับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2608

โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินโครงการโรงเรียนปลอดขยะและชุมชนปลอดขยะ ถ่ายทอดแนวคิด Zero Waste หรือการจัดการขยะเหลือศูนย์ โดยใช้หลัก 3Rs พร้อมทั้งส่งเสริมความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของเครือข่ายชุมชน โรงเรียน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการขยะมูลฝอยแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ปัจจุบันมีศูนย์เรียนรู้ชุมชนปลอดขยะ (Zero Waste) จำนวน 42 ศูนย์เรียนรู้ และมีศูนย์เรียนรู้โรงเรียนปลอดขยะ (Zero Waste School) จำนวน 20 ศูนย์เรียนรู้ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาขยายผลพื้นที่การจัดการขยะที่ต้นทางไปสู่ชุมชนและโรงเรียนอื่น ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมยกระดับพัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำต่อไปในอนาคต

นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาการจัดการขยะมาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมามีนโยบายส่งเสริมการลดและคัดแยกขยะที่ต้นทาง มุ่งเน้นส่งเสริมชุมชน องค์กร สถานประกอบการ ลดและคัดแยกขยะมุ่งผลสำเร็จตามหลักการของเสียเหลือศูนย์ (Zero Waste) และสำนักงานเขตได้ดำเนินการส่งเสริมให้มีการลดและคัดแยกขยะที่แหล่งกำเนิดมาใช้ประโยชน์ โดยในปี 2567 นี้ กทม. ตั้งเป้าลดขยะให้ได้ 200 ตัน/วัน และจะส่งเสริมให้ประชาชนมาเข้าร่วมโครงการมากขึ้น


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  13 กรกฎาคม 2567

ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์ (https://www.dailynews.co.th/news/3631549/)

การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) เตือนว่า การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยั่งยืน เนื่องจากระบบดิจิทัลใช้พลังงานไฟฟ้าสูง และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ว่า อังค์ถัด ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรภายใต้สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เตือนว่า การขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ต้องแลกมาด้วยต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ต้องใช้น้ำ และพลังงานจำนวนมหาศาล แม้การเปลี่ยนผ่านจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก อังค์ถัดเรียกร้องให้จัดหากลยุทธ์ที่ยั่งยืน เพื่อรับมือกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา “การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลยังคงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนชีวิตและการดำรงชีวิต แต่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างไร้การควบคุมก็มีความเสี่ยงที่จะทิ้งผู้คนไว้ข้างหลัง และส่งผลให้ความท้าทาย ด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น” นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวในรายงาน ขณะเดียวกัน กูเตร์เรสเตือนว่า การพึ่งพาเครื่องมือดิจิทัล ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การสูญเสียวัตถุดิบ, การใช้น้ำและพลังงาน, การปล่อยมลพิษทางอากาศ และการสร้างของเสีย “สิ่งเหล่านี้ถูกเน้นย้ำด้วยเทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ)” อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเอไอที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว จะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร ด้านนางรีเบกา กรินสแปน เลขาธิการอังค์ถัด เรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้นำด้านการผลิตข้อมูลที่ได้มาตรฐาน หลังเมื่อเร็วๆ นี้ กูเกิลรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นร้อยละ 48 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง 5 ปีจนถึงปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากการขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลที่สนับสนุนการดำเนินงานของเอไอ เช่นเดียวกับรายงานความยั่งยืนล่าสุดของไมโครซอฟต์ ซึ่งระบุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 ในปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับปี 2563 แม้บริษัททั้งสองแห่งเคยให้คำมั่นจะดำเนินนโยบายความกลางทางคาร์บอน ให้สำเร็จภายในสิ้นทศวรรษนี้ เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา โกลด์แมน แซคส์ ธนาคารเพื่อการลงทุนของสหรัฐ กล่าวว่า คำมั่นสัญญาของเทคโนโลยีเจเนอเรทีฟ เอไอ จะทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต้องใช้เงินประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 36 ล้านล้านบาท) เพื่อการลงทุนในศูนย์ข้อมูล, ชิป และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ของเอไอ “แต่การใช้จ่ายครั้งยังมีให้เห็นไม่มากนัก” พร้อมตั้งคำถามว่า “การใช้จ่ายจำนวนมากนี้ จะได้ผลตอบแทนในแง่ของผลประโยชน์ และผลตอบแทนจากเอไอหรือไม่”ด้านนางชามิกา สิริมันน์ ผอ.ฝ่ายเทคโนโลยีและโลจิสติกส์ อังค์ถัด กล่าวว่า คำถามที่ว่าเอไอควรใช้ทำอะไร เพื่อสาธารณประโยชน์หรือค้นหาข้อมูล, การตลาด หรือการขาย ยังไม่เกิดขึ้น “แต่ก่อนที่จะสายเกินไป เราต้องเริ่มการสนทนานี้เสียก่อน”ในรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลปี 2567 อังค์ถัดได้ยกตัวอย่างผลกระทบของเศรษฐกิจดิจิทัลต่อสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่า ภาคเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่าง 0.69 ถึง 1.6 กิกะตันในปี 2563 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 1.5-3.2 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก และใกล้เคียงกับการขนส่งทางอากาศหรือทางเรือ ด้านการผลิตคอมพิวเตอร์ขนาด 2 กิโลกรัม ต้องใช้วัตถุดิบประมาณ 800 กิโลกรัม โดยความต้องการแร่ธาตุสำคัญ เช่น กราไฟต์, ลิเทียม และโคบอลต์อาจเพิ่มขึ้นร้อยละ 500 ภายในปี 2593ขณะเดียวกัน มีการใช้ไฟฟ้า 460 เทระวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2565 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 2 เท่าภายในปี 2569 ในไอร์แลนด์ การใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าระหว่างปี 2558-2565 และปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ 18 ของการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 28 ภายในปี 2574 แต่การใช้พลังงานทั่วโลกในการขุดบิตคอยน์ เพิ่มขึ้นประมาณ 34 เท่าระหว่างปี 2558-2566 ที่ประมาณ 121 เทระวัตต์-ชั่วโมง ส่งผลให้การขุดบิตคอยน์ในเบลเยียมและฟินแลนด์ นำหน้าประเทศอื่น ๆ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  12 กรกฎาคม 2567

ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/environment/1134738

จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในอดีต ที่ขับเคลื่อน เศรษฐกิจเส้นตรง (Linear Economy) โดยมีการผลิต การใช้และการทิ้งเป็นของเสียที่สร้างปัญหากับโลก เป็นเศรษฐกิจมุ่งเน้นการสร้างรายได้โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพถูมิอากาศ ภาวะมลพิษและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ  ทำให้การขาดแคลนทรัพยากร

สหภาพยุโรปจึงได้มีนโยบาย กฎระเบียบและการปฏิวัติโมเดลธุรกิจ จากเศรษฐกิจเส้นตรง ไปสู่ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) ที่เป็นรูปแบบการจัดการระบบเศรษฐกิจใหม่เพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  11 กรกฎาคม 2567

ที่มา: https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2797402

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้การต้อนรับ ฯพณฯ โอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่นประจำราชอาณาจักรไทย ในโอกาสเข้าร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วม ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น โดยมี ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงฯ ตลอดจนคณะผู้บริหารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 ประเทศ ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุม ชั้น 20 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมี นายคุนิซาดะ อิซาโตะ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น กล่าวแสดงความยินดีต่อการลงนามบันทึกความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ ทั้งนี้ กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) เป็นกลไกลดก๊าซเรือนกระจกที่ฝ่ายญี่ปุ่นให้การสนับสนุนทางการเงินหรือเทคโนโลยีแก่ผู้พัฒนาโครงการในประเทศไทย เพื่อให้สามารถใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำที่ทันสมัย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยผู้พัฒนาโครงการฝ่ายไทยต้องแบ่งปันคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นจากโครงการให้กับฝ่ายญี่ปุ่นเป็นการตอบแทน

พล.ต.อ.พัชรวาท ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ร่วมเป็นภาคีกับรัฐบาลไทย และให้การสนับสนุนในการดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเสมอมา ซึ่งความร่วมมือฯ ฉบับนี้ ได้กำหนดแนวปฏิบัติที่ทำให้โครงการที่ดำเนินการภายใต้กลไก JCM เป็นไปตามข้อกำหนดของความตกลงปารีส ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ จะดำเนินการคัดเลือกโครงการที่มีคุณลักษณะครบถ้วนตามข้อกำหนดและกลไกการบริหารตามความร่วมมือนี้ โดยเน้นให้เป็นโครงการที่มีการนำและถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัย เหมาะสมในการลดคาร์บอนในอนาคต การเรียนรู้เทคโนโลยีจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลงอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยเร็ว


© 2025 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.