• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  20 สิงหาคม 2566

ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/sustainable/2717828

ประเทศไทย และประเทศในกลุ่มอาเซียน ถูกจัดให้เป็นประเทศอันดับต้นๆ ของโลกที่ต้องให้ความสำคัญกับขยะพลาสติกในทะเลที่มีจำนวนมหาศาล เนื่องจากความต้องการใช้พลาสติกมากขึ้น

  รัฐบาลได้ตระหนักถึงปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะพลาสติก โดยนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนเมษายน 2561 ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกแบบบูรณาการตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางอย่างเป็นรูปธรรม จึงได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการการบริหารจัดการขยะพลาสติกภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และคณะทำงานด้านการพัฒนากลไกการจัดการพลาสติก ภายใต้คณะอนุกรรมการบริหารจัดการพลาสติก ก่อนร่างโรดแม็ปการจัดการขยะพลาสติกของประเทศ พ.ศ.2561-2573 เพื่อใช้เป็นกรอบและทิศทางการดำเนินการป้องกันและแก้ไขการจัดการขยะพลาสติกของประเทศ

  ปัจจุบันนี้ พบว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรือภาคประชาชนเองมีความตื่นตัวในเรื่องของการจัดการขยะที่ไม่ใช่แค่ขยะพลาสติก เนื่องจากปัญหา “โลกร้อน” ที่คาดว่าจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอย่างที่รู้กันว่าหนึ่งในต้นตอของ “โลกร้อน” ก็มาจากปัญหาขยะ ทั้งการลดการใช้พลาสติก ถุงพลาสติก กล่องโฟม ฯลฯ หรือการรีไซเคิลขยะพลาสติกให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  19 สิงหาคม 2566

เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (19 สิงหาคม 2566) พล.ต.ท.ประพันธ์ จันทร์เอม ผอ.อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร เป็นประธานเปิดโครงการ Family 3S Plus “Smart Save and Chare” ครอบครัวสร้างสรรค์แบ่งปันสังคม พร้อมด้วย ภาคีเครือข่ายจาก 6 องค์กร สมาชิกจา 15 ครอบครัว จำนวน 52 คน จาก 7 จังหวัด เข้าร่วมกิจกรรม ณ ห้องประชุมอาคารศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานนานาชาติสิรินธร อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี

พล.ต.ท.ประพันธ์ จันทร์เอม ผอ.อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้มีครอบครัวที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการจำนวน 15 ครอบครัว รวม 52 คน จาก 7 จังหวัด เพื่อเรียนรู้ในเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามแนวพระราชดำริ เรียนรู้ประโยชน์จากการใช้พลังงานทดแทน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดรายจ่ายด้านพลังงานในครอบครัว โดยหวังจะได้นำความรู้ที่ได้รับนำไปประยุกต์ใช้และร่วมเผยแพร่ให้แก่ชุมชนได้ร่วมเรียนรู้กันต่อไป

สำหรับฐานการเรียนรู้ในครั้งนี้ได้จัดกิจกรรมให้ทุกครอบครัวได้ร่วมลงมือทำ ประกอบไปด้วย การทำเตาประหยัดพลังงาน เรียนรู้การใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ การทำปุ๋ยหมักจกเศษอาหารช่วยลดชยะในครัวเรือนส่งเสริมให้เห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อมรอบตัว สำหรับโครงการ Family 3S Plus “Smart Save and Chare” ครอบครัวสร้างสรรค์แบ่งปันสังคม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร เกิดขึ้นได้ด้วยความตั้งใจและการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ จาก 6 องค์กร ได้แก่ ธนาคารออมสิน บมจ.เอสซีจีแพคเกจจิ้ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มูลนิธิอิออนประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวงและบ.เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จก.เพื่อสร้างโอกาสให้ครอบครัวที่เป็นสถาบันพื้นฐานสำคัญของสังคมและประเทศได้นำความรู้ที่ได้รับไปก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและชุมชนได้ต่อไป


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  18 สิงหาคม 2566

คณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) และแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐ เห็นชอบผลการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐฯ (One Map) ในพื้นที่จังหวัดกลุ่มที่ 4 จำนวน 9 จังหวัด

นางรวีวรรณ ภูริเดช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช) กล่าวว่า คณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) และแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐ ครั้งที่ 1 ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐฯ (One Map) ในพื้นที่จังหวัดกลุ่มที่ 4 จำนวน 9 จังหวัด ประกอบด้วย กาฬสินธุ์ มุกดาหาร หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ สกลนคร ยโสธร บึงกาฬ หนองคาย และนครพนม รวมเนื้อที่ 13.9 ล้านไร่ รวมทั้ง ได้รับทราบการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐฯ (One Map) ตามผลการตรวจสอบเส้นแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลานที่สำรวจเมื่อปี 2543 และเห็นชอบแนวทางการลดขั้นตอนการปรับปรุงแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง มาตรฐานการจัดทำระวางแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ และพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐฯ (One Map) เมื่อดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ (One Map) แล้วเสร็จ ประชาชนจะได้ทราบถึงขอบเขตที่ดินของรัฐที่ชัดเจนและตรวจสอบได้สะดวก ส่งผลให้การทำประโยชน์ในที่ดินหรือการใช้ที่ดินได้อย่างถูกต้อง โดยไม่รุกล้ำที่ดินของรัฐ ทำให้มีคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมดีขึ้น ที่สำคัญช่วยลดปัญหาข้อพิพาทหรือความขัดแย้งเรื่องแนวเขตที่ดินระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชน

ทั้งนี้ การดำเนินโครงการ One Map จะไม่เป็นการลิดรอนสิทธิของประชาชน แต่เป็นการให้โอกาสประชาชนพิสูจน์สิทธิ์เป็นพื้นฐานให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  17 สิงหาคม 2566

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ได้ร่วมกันจัดทำโครงการพัฒนาพื้นทางเดินอัพไซเคิล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพัฒนาพื้นที่สาธารณประโยชน์ในชุมชนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมลดพลาสติกใช้แล้วไปสู่หลุมฝังกลบได้กว่า 4,500 กิโลกรัม ต่อยอดสู่การเป็นต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองได้อย่างยั่งยืน

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้จัดให้มีพิธีส่งมอบโครงการพัฒนาพื้นทางเดินอัพไซเคิล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน เพื่อเป็นโครงการต้นแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน สร้างประโยชน์ต่อชุมชน ควบคู่กับการรักษาความสมบูรณ์ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวงฯ และสื่อมวลชน เข้าร่วมพิธี ณ ห้องแถลงข่าว 101 ชั้น 1 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ GC ได้ร่วมดำเนินการพัฒนาการก่อสร้างถนนทางเดินอัพไซเคิล และท่าน้ำอัพไซเคิลจากพลาสติกใช้แล้ว บริเวณพื้นที่รอบสระน้ำของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมระยะทาง 320 เมตร ซึ่งสามารถลดปริมาณขยะพลาสติกไปสู่หลุมฝังกลบมากกว่า 4,500 กิโลกรัม พร้อมช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 4,700 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่า หรือเท่ากับการปลูกต้นไม้ได้มากกว่า 495 ต้น นับเป็นโครงการพัฒนาพื้นทางเดินอัพไซเคิล ที่ได้รับฟังความคิดเห็น การออกแบบ และการเลือกใช้วัสดุร่วมกับชุมชนในพื้นที่ ซึ่งคำนึงถึงระบบนิเวศและการใช้งานอย่างสมดุล โดยยังคงรักษาความเป็นธรรมชาติที่หลากหลาย สามารถพัฒนาให้เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ในชุมชนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อยอดสู่การเป็นต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง ที่คงไว้ซึ่งความสมดุลของธรรมชาติ และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

“โครงการพัฒนาพื้นทางเดินอัพไซเคิล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงนับเป็นความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่จะส่งเสริมให้สังคมได้เห็นถึงประโยชน์ของการหมุนเวียนทรัพยากร ผ่านการมีส่วนร่วมในการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี หมุนเวียนกลับมาสร้างคุณค่า และสร้างประโยชน์ ให้ “พลาสติกเทิร์นเมือง” เป็นผลิตภัณฑ์รีไซเคิล ส่งต่อสู่การอัพไซเคิล ถือเป็นการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรแบบ Closed loop ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ต่อยอดสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนให้กับทุกคน” นายวราวุธ กล่าว

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า GC ดำเนินธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการสร้าง “ถนนอัพไซเคิล” และ “แผ่นทางเดินอัพไซเคิล” เพื่อสร้างให้เกิดสาธารณ ประโยชน์กับประชาชน และชุมชน นับเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพลาสติกใช้แล้วผ่านกระบวนการอัพไซเคิลในบริเวณพื้นที่โดยรอบสระน้ำของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา GC ได้ริเริ่มและพัฒนา “GC YOU เทิร์น” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเก็บ คัดแยก และนำไปเข้ากระบวนการรีไซเคิลหรืออัพไซเคิล ได้ออกมาเป็นสิ่งของที่มีมูลค่า

สำหรับความร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในครั้งนี้ ถือเป็นต้นแบบการสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนในพื้นที่ ภาครัฐ และภาคเอกชนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้งานทุกกลุ่ม รวมถึงการรักษาความสมบูรณ์ของธรรมชาติในพื้นที่ โดย GC ได้พัฒนาและส่งมอบ “ถนนอัพไซเคิล” ผลิตจากยางมะตอยผสมพลาสติกใช้แล้วประเภทฟิล์ม LDPE และ LLDPE ที่ยากต่อการนำไปรีไซเคิล โดยผ่านการวิจัยและพัฒนา ทำให้มีความแข็งแรง และยืดหยุ่นเหมือนถนนลาดยางมะตอยทั่วไป “แผ่นทางเดินและท่าน้ำอัพไซเคิล” ผลิตจากพลาสติกใช้แล้ว ประเภทฟิล์มหลายชั้น (Multilayer) และฟิล์ม LDPE ที่มีความยากต่อการนำมารีไซเคิล โดยนำกลับมาหลอมและอัดขึ้นรูปเป็นแผ่นทางเดินที่มีความแข็งแรงเทียบเท่าอิฐที่ผลิตจากทรายและปูน การดำเนินการในครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดสู่การเป็นต้นแบบพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม พร้อมส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อมซึ่งส่งผลดีให้กับโลกใบนี้ของพวกเราอย่างแท้จริง


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  16 สิงหาคม 2566

ที่ประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เห็นชอบ (ร่าง) มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2566 เพิ่มเติมตลอดช่วงฤดูฝนรองรับสถานการณ์เอลนีโญ 3 มาตรการ พร้อมรับมือการแปรปรวนของสภาพอากาศ หลังพบพื้นที่เสี่ยงท่วมและน้ำแล้งหลายพื้นที่

นายบุญสม ชลพิทักษ์วงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะเลขานุการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวว่า จากการประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ครั้งที่ 2 ที่มี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เป็นประธาน ได้เห็นชอบ (ร่าง) มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2566 เพิ่มเติมตลอดช่วงฤดูฝนเพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญ เนื่องจากอิทธิพลของเอลนีโญที่เกิดขึ้นขณะนี้มีประชาชนกำลังประสบปัญหาอย่างมากจากปริมาณฝนที่ตกน้อยในหลายพื้นที่และแหล่งน้ำมีปริมาณน้ำจำกัด โดยเฉพาะน้ำอุปโภค-บริโภค โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและให้หน่วยงานนำไปปฏิบัติต่อไป เพื่อทำงานเชิงป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศได้ทันต่อสถานการณ์ 3 มาตรการ คือ มาตรการที่ 1 จัดสรรน้ำให้เป็นไปตามลำดับความสำคัญที่คณะกรรมการลุ่มน้ำกำหนดให้ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วางแผนการระบายน้ำ รองรับสถานการณ์เอลนีโญ // มาตรการที่ 2 ควบคุมการเพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง โดยสร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกรควบคุมไม่ให้เพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง และสุดท้าย มาตรการที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ แบ่งเป็น การใช้น้ำภาคการเกษตร ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืชเพื่อลดความเสี่ยงขาดแคลนน้ำและเพิ่มรายได้ในพื้นที่ , การประหยัดน้ำของหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน พร้อมรณรงค์ใช้น้ำอย่างประหยัดทุกภาคส่วน ส่งเสริมสนับสนุนให้โรงงานอุตสาหกรรมใช้ระบบ 3R เพื่อลดการใช้น้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ และสุดท้าย ลดการสูญเสียน้ำในระบบประปาและระบบชลประทาน ด้วยการปรับรอบเวรการส่งน้ำให้สอดรับกับปริมาณความต้องการน้ำของพื้นที่จะดำเนินการตลอดช่วงฤดูฝนปีนี้

ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานร่วมกันวางแผนและเตรียมพร้อมในพื้นที่เสี่ยงประสบภัยน้ำท่วม หรือขาดแคลนน้ำจากปริมาณฝนที่ตกน้อย เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด พร้อมสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นไปตามแผนการบริหารจัดการน้ำ2 ปี และให้มีปริมาณน้ำต้นทุนเหลือเพียงพอสำหรับใช้ในช่วงหน้าแล้งปี 2566/67 โดยให้น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคเป็นอันดับแรก น้ำที่เหลือจะจัดสรรเพื่อการเกษตรได้ เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนมีค่อนข้างจำกัดโดยคาดการณ์ปริมาณน้ำและปริมาณใช้การ ณ วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้คาดการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่งทั้งประเทศรวมกันอยู่ที่ 49,688 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีน้ำใช้การ 26,142 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  15 สิงหาคม 2566

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอใช้อุปโภค-บริโภค โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา หลังพบปริมาณน้ำรวมใน 4 เขื่อนหลักอยู่ในเกณฑ์น้อยมาก

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวว่า กอนช. ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำตาม 12 มาตรการรับมือฤดูฝนปีนี้ยังคงติดตามผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญในปัจจุบันต่อเนื่อง เพราะส่งผลให้มีปริมาณฝนตกน้อยกว่าค่าปกติและทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆลดลงกระทบต่อปริมาณน้ำภาพรวมของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ในส่วนนี้กรมชลประทานได้บริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้วยการกำหนดแผนจัดสรรน้ำจาก 4 เขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 ตุลาคม รวม 5,500 ล้านลูกบาศก์เมตร พร้อมวางแผนการเพาะปลูกข้าวนาปี 8.05 ล้านไร่ ทั้งนี้ จากข้อมูล ณ วันที่ 4 สิงหาคม สถานการณ์น้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำใช้การรวมกัน 2,974 ล้านลูกบาศก์เมตรอยู่ในเกณฑ์น้อยมาก หลังจัดสรรน้ำไปแล้วรวม 4,525 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่เพาะปลูกไปแล้วประมาณ 7.15 ล้านไร่ และเก็บเกี่ยวแล้ว 300,000 ไร่

เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ย้ำว่า จำเป็นต้องลดความเสี่ยงผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย จึงต้องประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือเกษตรกรที่ทำการเพาะปลูกข้าวนาปีรอบแรกและเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จให้งดเพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนมีไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นไปตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2566 ที่กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กำหนด เพื่อรองรับสถานการณ์น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะปัจจุบันปริมาณฝนสะสมมีปริมาณฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ประกอบกับ ปรากฏการณ์เอนโซที่อยู่ในสภาวะเอลนีโญกำลังอ่อนมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เมื่อสิ้นสุดฤดูฝนปีนี้ 4 เขื่อนหลักจะมีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกันอยู่ในเกณฑ์น้อยมาก เพียงพอเฉพาะการอุปโภค-บริโภค และรักษาระบบนิเวศเท่านั้น


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  14 สิงหาคม 2566

กรมทรัพยากรธรณี ขอให้อาสาสมัครเครือข่ายเฝ้าระวังดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากถึงวันที่ 16 สิงหาคมนี้ในพื้นที่ 6 จังหวัด หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง

ศูนย์ปฏิบัติการธรณีพิบัติภัย กรมทรัพยากรธรณี ได้ออกประกาศขอให้อาสาสมัครเครือข่ายกรมทรัพยากรธรณีและประชาชนทั่วไปเฝ้าระวังภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากถึงวันที่ 16 สิงหาคมนี้ ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตราด ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มบริเวณอำเภอขลุง เขาคิชณกูฎ จังหวัดจันทบุรี // อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด อำเภอเมือง กะเปอร์ สุขสำราญ ละอุ่น กระบุรี จังหวัดระนอง // อำเภอเมือง กะปง ตะกั่วป่า ท้ายเหมือง คุระบุรี จังหวัดพังงา // อำเภอเมือง ถลาง จังหวัดภูเก็ต และอำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ เนื่องจากมีฝนตกหนักวัดปริมาณน้ำฝนในรอบ 24 ชั่วโมงได้มากกว่า 100 มิลลิเมตร อาจส่งผลให้เกิดแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากได้

ทั้งนี้ ขอให้อาสาสมัครเครือข่ายเฝ้าระวังแจ้งเตือนธรณีพิบัติภัยของกรมทรัพยากรธรณี เตรียมความพร้อมเฝ้าระวังภัยและวัดปริมาณน้ำฝนอย่างต่อเนื่อง หากเกิดเหตุให้แจ้งเตือนสถานการณ์ดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากให้ประชาชนในหมู่บ้านได้รับทราบ และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมปฏิบัติตามแผนเฝ้าระวังด้วย


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  13 สิงหาคม 2566

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เร่งปรับแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อีอีซีรับมือผลกระทบปรากฏการณ์เอลนีโญ ด้วยการใช้โครงข่ายน้ำภาคตะวันออกสูบผันน้ำเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อลดความเสี่ยงขาดแคลนน้ำ

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวถึงการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ที่ครอบคลุม 3 จังหวัด คือ จ.ชลบุรี จ.ระยอง และ จ.ฉะเชิงเทรา พื้นที่สำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอาจได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญว่า กอนช.ได้วางแผนรับมือเพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากภาวะขาดแคลนน้ำในหน้าแล้งปี 2566/67 // ช่วงต้นฤดูฝนปี 2567 และสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำในพื้นที่ดังกล่าวอย่างยั่งยืน ส่วนแผนรับมือภาวะขาดแคลนน้ำจะใช้โครงข่ายน้ำภาคตะวันออกที่มีอยู่ร่วมกับมาตรการอื่นๆ เช่น กรมชลประทานและบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์วอเตอร์ จะสูบผันน้ำจากคลองพระองค์ไชยานุชิตจากแม่น้ำบางปะกงมาเก็บไว้ที่อ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี ตั้งเป้าสูบผันน้ำรวมประมาณ 80 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เบื้องต้นสูบผันน้ำได้แล้วรวม 10.2 ล้านลูกบาศก์เมตรขณะเดียวกันกรมชลประทานจะสูบผันน้ำจากคลองสะพานมาเก็บไว้ที่อ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง จากนั้นจะใช้อ่างเก็บน้ำประแสร์เป็นศูนย์กลางส่งน้ำไปยังอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่และอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล เพื่อกระจายน้ำให้กับพื้นที่อีอีซี โดยวางแผนจะสูบผันน้ำจากคลองสะพานรวม 50 ล้านลูกบาศก์เมตร เบื้องต้นสูบผันน้ำเติมอ่างเก็บน้ำประแสร์ได้แล้ว 2.65 ล้านลูกบาศก์เมตร

ทั้งนี้ กอนช.ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มการบริหารจัดการความเสี่ยง ด้วยการให้กรมชลประทานวางแผนผันน้ำส่วนเกินจากลุ่มน้ำคลองวังโตนด จ.จันทบุรี มายังอ่างเก็บน้ำประแสร์อีกทางด้วย ซึ่งระบบท่อผันน้ำที่มีอยู่มีศักยภาพผันน้ำได้ประมาณปีละ 70 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถลดความเสี่ยงที่อ่างเก็บน้ำประแสร์และลดการขาดแคลนน้ำต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมวางแผนใช้น้ำจากแหล่งอื่นเข้ามาเสริม เช่น การขอซื้อน้ำจากแหล่งน้ำของภาคเอกชน รวมถึง ให้ชะลอการขุดลอกอ่างเก็บน้ำพื้นที่โครงข่ายน้ำภาคตะวันออก เช่น อ่างเก็บน้ำหนองค้อ อ่างเก็บน้ำบ้านบึง เพื่อลดปัญหาความขุ่นของน้ำให้ปริมาณน้ำที่มีอยู่ใช้การได้ และลดภาระการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำบางพระที่มีจำนวนค่อนข้างน้อยอยู่แล้วมาทดแทน


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.