• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  23 มิถุนายน 2567

ที่มา: https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/84608

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 2/2567 พร้อมด้วย ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงฯ นายคณิศ แสงสุพรรณ ที่ปรึกษาของ รมว.ทส. นายนพดล พลเสน เลขานุการ รมว.ทส. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. และหัวหน้าส่วนราชการภายใต้สังกัด ทส. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 202 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อติดตามการเตรียมจัดโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ที่จะมีพิธีเปิดโครงการฯ ในภาพรวมของ ทส. ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น จังหวัดสระบุรี และนำร่องปลูกต้นไม้พร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 28 มิถุนายน 2567 ให้เป็นไปอย่างสมพระเกียรติ ตลอดจนเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และการเตรียมข้อมูลเพื่อประกอบการชี้แจงร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วาระที่ 1 ในระหว่างวันที่ 19 – 21 มิถุนายน 2567 โดยเฉพาะในประเด็นภารกิจสำคัญ และประเด็นที่เป็นกระแสอยู่ในความสนใจของประชาชน

นอกจากนี้ รมว.ทส. ยังได้สั่งการ ให้ทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยที่จะเกิดขึ้น เฝ้าระวังสิ่งก่อสร้างในพื้นที่ที่อาจเกิดผลกระทบจากอุทกภัย น้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม โดยให้กรมทรัพยากรน้ำ และกรมทรัพยากรน้ำบาดาลจัดเตรียมเครื่องมือให้พร้อมในการช่วยเหลือประชาชน ให้กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติฯ จัดเตรียมกำลังพลในการอพยพประชาชน และการช่วยเหลือหากเกิดสถานการณ์วิกฤต และให้กรมควบคุมมลพิษ ให้ความรู้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหามลพิษต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากอุทกภัย ในส่วนของการแก้ไขปัญหาสัตว์ป่ารบกวนชาวบ้าน ได้สั่งการให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ เร่งแก้ไขปัญหาลิงและช้างป่าที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน และมอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัด พิจารณากำหนดมาตรการของแหล่งกำเนิดมลพิษให้ครอบคลุมธุรกิจเกิดใหม่ ให้ความสำคัญกับการจัดหาเครื่องมือในการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ทันสมัย ประสานบังคับใช้มาตรการ และกฎหมายให้เกิดผลเป็นรูปธรรม


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  22 มิถุนายน 2567

ที่มา : Newswit.com (https://www.newswit.com/th/ifabli0csja4jllwjoc16vpal64ahzci)

บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) ชวนทุกคนมารักษ์โลกกับแคมเปญทำบุญ ด้วยการส่งขยะมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสร้างพลังงานทดแทน พร้อมแบ่งปันน้ำใจด้วยการมอบถุงเท้าให้แก่น้องๆ นักเรียน จำนวน 11 โรงเรียน ผ่านโครงการ “ส่งขยะกลับบ้าน… ปันถุงเท้าให้น้อง” โดยทุกการส่งขยะ 1 ตัน บริษัทฯ จะสมทบทุนมอบถุงเท้าใหม่ให้น้องๆ นักเรียนที่ขาดแคลน จำนวน 12 คู่ สำหรับ โครงการ “ส่งขยะกลับบ้าน” ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2564 ปัจจุบันนี้มีจุดดรอปขยะทั้งหมด 12 แห่ง ได้แก่ อาคาร Better Group ลาดพร้าว 130, มูลนิธิกระจกเงา, วัดจากแดง, ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค, ศูนย์การค้าคอสโม บาซาร์ เมืองทองธานี, กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์, มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช, มหาวิทยาลัยบูรพา, เทศบาลตำบลบางเดื่อ, เทศบาลตำบลบางปู อาคารชาญอิสระ 2 และคอนโดศุภาลัย พรีเมียร์ เพลส อโศก, หรือส่งไปรษณีย์มาได้ที่ โครงการ “ส่งขยะกลับบ้าน” ศูนย์พลังงานทดแทน บริษัทเบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) นิคมอุตสาหกรรมนครหลวง 9/991-993 หมู่4 ตำบลบางพระครู อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13260 โดยขยะที่สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้นั้น จะเป็นประเภท ถุงเท้าเก่า เสื้อผ้าเก่า พลาสติก กระดาษ เศษฟลอยด์ ซองขนม บรรจุภัณฑ์ต่างๆ ถ้วยกระดาษ กล่องนม ฯลฯ ซึ่งจะถูกนำไปแปรรูปเป็นก้อนเชื้อเพลิง เพื่อสร้างพลังงานทดแทนในโรงไฟฟ้าขยะฯ ต่อไป สำหรับโครงการ “ส่งขยะกลับบ้าน ปันถุงเท้าให้น้อง” จะเริ่มเปิดรับตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2567 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 02 012 7888 ต่อ 631, 632 / เพจ Facebook : BWG – Better World Green / กำจัดกากอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการมอบความสุข และสร้างรอยยิ้มให้แก่น้องๆ เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ไปด้วยกัน กับกิจกรรมโครงการ”ส่งขยะกลับบ้าน…ปันถุงเท้าให้น้อง” ได้ตั้งแต่วันนี้ 13 กรกฎาคม 2567


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  21 มิถุนายน 2567

ที่มา https://www.thaipbs.or.th/news/content/341187

หลายโรงเรียนปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ผ่านหลักสูตรการสอนวิชาสิ่งแวดล้อมศึกษาสร้างความตระหนัก ปลูกจิตสำนึกให้นักเรียนช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม

การรณรงค์ให้เด็กช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม และเข้าใจปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เด็กเกิดความตระหนักและลงมือปฏิบัติ ทั้งการแก้ปัญหาขยะ การปลูกต้นไม้ ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน จึงเป็นที่มาของการเกิดห้องเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษา วิชาที่จะมาช่วยเติมเต็มความตระหนัก และปลูกฝังจิตสำนึกให้เด็กช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม

โรงเรียนสาธิตเทศบาลบ้านหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ หนึ่งในโรงเรียน Eco School ที่เปิดสอนวิชาสิ่งแวดล้อมศึกษา ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 การเรียนที่สม่ำเสมอ

นายบุญทวี บุญให้ ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตเทศบาลบ้านหัวหิน เปิดเผยว่า การนำหลักสูตรวิชาสิ่งแวดล้อมศึกษามาสอนให้นักเรียน เพราะต้องการให้เด็กช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน รวมไปถึงบุคลากรในโรงเรียน และชุมชน

นอกจากการนำวิชาสิ่งแวดล้อมศึกษามาสอนให้นักเรียน โรงเรียนนี้ยังปรับกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอีกด้วย ทั้งการสลับกันเข้าแถวหน้าเสาธงของนักเรียน โดยนักเรียนที่เหลือจะเข้าแถวหน้าห้องเรียนและทำกิจกรรมโฮมรูม และการปรับวิชากลางแจ้งมาไว้ช่วงเช้า เนื่องจากช่วงเที่ยงเป็นต้นไปอุณหภูมิสูงและมีความร้อนสะสม อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กได้


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  20 มิถุนายน 2567

ที่มา: https://maehongson.prd.go.th/th/content/category/detail/id/9/iid/299130

จังหวัดแม่ฮ่องสอนจัดโครงการ “ปลูกป่า เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” ที่ป่าสงวนแห่งชาติ บ้านแม่สะกึ๊ด ตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีนายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานเปิดโครงการ  และนายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาชนบ้านแม่สะกึ๊ดและพื้นที่ใกล้เคียงร่วมกิจกรรม

ในปัจจุบัน ปัญหาความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะทรัพยากรป่าไม้ซึ่งส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยได้กำหนดประเด็นการพัฒนาสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืนในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีเป้าหมายการพัฒนาการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ประกอบกับแผนพัฒนาจังหวัดแม่ฮ่องสอน 5 ปี พ.ศ. 2566 – 2570 ในประเด็นการพัฒนาจังหวัด การยกระดับการบริหารจัดการอนุรักษ์ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตอย่างยั่งยืน จังหวัดแม่ฮ่องสอนจึงมีแนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยกำหนดแนวทางการป้องกันรักษาทรัพยากรป่าไม้ที่เหลือให้คงอยู่ โดยการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้ที่เสื่อมโทรมให้ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ เพิ่มพื้นที่ป่าให้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ จังหวัดแม่ฮ่องสอนจึงได้จัดทำโครงการ “ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความจงรักภักดีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นการสร้างความร่วมมือ ร่วมใจของหน่วยงานราชการต่าง ๆ และราษฎรในพื้นที่ เพื่อช่วยกันทำความดีเพื่อประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมมุ่งสร้างจิตสำนึกสาธารณะและฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว แก้ไขปัญหา และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้านทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืนของจังหวัดแม่ฮ่องสอนต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  19 มิถุนายน 2567

ที่มา : ไทยโพสต์ (https://www.thaipost.net/environment-news/606516/)

19 มิ.ย.2567 – ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการ ด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ โลกร้อนทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศบ่อยขึ้น มีเนื้อหาดังนี้

สายการบินแอร์นิวซีแลนด์ เที่ยวบินNZ 607 บินจากเวลลิงตันไปยังควีนทาวน์บินลงทางใต้ของประเทศตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายนที่ระยะความสูง 34,000 ฟิตหรือ10,363 เมตร ทำให้มีผู้โดบาดเจ็บ 2 รายโดยรายที่ ถูกน้ำร้อนจากถ้วยกาแฟหกราดลงบนตัวผู้โดย สารผู้หญิงและอีกรายเกิดจากการที่ลูกเรือกระแทกกับผนังของเครื่องบินอย่างรุนแรงสาเหตุมาจากที่เครื่องบินแอร์นิวซีแลนด์ ประสบกับ full on turbulance หรือตกหลุมอากาศ อย่างกะทันหัน โดยไม่มีสัญญาณบอกเหตุมาก่อนทั้งท้องฟ้าแจ่ม ใส (Clean Air Turbulane)นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมของประ เทศสหรัฐอเมริกาพบว่าเครื่องบินตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงบ่อยขึ้นซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงจากการที่โลกร้อนขึ้นจึงแนะ นำให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดตลอดเวลาขณะที่นั่งอยู่บนเครื่องเครื่องบินเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ จากการตกหลุมอากาศอย่างกะ ทันหันโดยที่ไม่มีสัญญาณบอกเหตุก่อนหน้านั้นสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ก็ตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2567มีผู้โดยสารเสียชีวิต 1 คนและผู้โดยสาร 79 คนและลูกเรือ 6 คนได้รับบาดเจ็บ จากกรณีที่เครื่องบินตกหลุมอากาศโดยไม่คาดฝันมาก่อนทั้งๆที่ท้องฟ้าแจ่มใส ขณะที่เมื่อวันที่ 26 พค. 2567 สายการบินการ์ต้าแอร์เวย์เที่ยวบิน QR 017 เดินทางจากกรุงโดฮาไปยังไอซ์แลนด์ ตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงโดยที่ไม่คาดฝัน ทั้งๆที่ท้องฟ้าแจ่มใสเช่นกัน มีผู้โดยสารบาดเจ็บ 6 คนและลูกเรือบาดเจ็บ 6 คนการที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นทำให้กระแสลมในระดับสูงที่เครื่องบินใช้เป็นเส้นทางบินมีความเร็วลดลงในบางขณะบางช่วงทั้งที่ท้องฟ้าแจ่มใส เหมือนกับการที่ขับรถมา บนทางที่ราบเรียบแล้วมาเจอทางขรุขระจึงเกิดการสะเทือนของรถยนต์ เช่นกันเมื่อเครื่องบินบินผ่านกระแสลมที่พัดมาด้วยความเร็วสม่ำเสมอและมาเจอช่วงที่อากาศร้อนขึ้นจึงทำให้ความเร็วของลมลดลงซึ่งมีผลทำให้ความหนาแน่นของมวลอากาศบริเวณดังกล่าวลดลงหรือบางลงด้วยเช่นกันซึ่งก็คือการเกิดอากาศแปรปรวนนั่นเองก็จะทำให้เครื่องบินที่บินผ่านเกิดการสั่นสะเทือน เมื่อมวลอากาศบางลงจะทำให้แรงโน้มถ่วงของโลกหรือค่าgจะฉุดเครื่องบินให้ตกลงมาซึ่งก็คือการตกหลุมอากาศ นักบินจึงต้องขับเครื่องบินขึ้นให้พ้นแรงดึงดูดของโลกและให้พ้นอากาศที่แปรปรวนต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  18 มิถุนายน 2567

ที่มา https://www.onep.go.th/wp-admin/post.php?post=94515&action=edit

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี จำกัด (มหาชน) หรือ SCG เปิดเผยว่า เป้าหมายของ “เอสซีจี” ในการผลักดันยอดขายผลิตภัณฑ์สีเขียว (SCG Green Choice) พุ่งแตะสัดส่วน 67% ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2573 ซึ่งอาจฟังดูเป็นเป้าหมายที่ท้าทายอย่างยิ่ง เพราะยอดขายของเอสซีจีแต่ละปีคือตัวเลขมูลค่าหลักแสนล้านทั้งนี้หมายความว่าเอสซีจีจะต้องมีนวัตกรรมกรีนใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะต้องตอบโจทย์ความต้องการของตลาดทั่วภูมิภาค

ทุกหน่วยธุรกิจของเอสซีจี ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมกรีนมาระยะหนึ่ง และมีข้อสำคัญคือ ต้องเปลี่ยน “พลังคน” ให้เป็น “โอกาส” มุ่งสู่การเป็น “องค์กรแห่งโอกาส” (Organization of Possibilities)เปิดทางให้ “น้องๆ คนรุ่นใหม่” ไปจนถึงทุกคนที่มีไอเดียทั้งในและนอกองค์กรมีพื้นที่สร้างสรรค์นวัตกรรมกรีนที่ทั้งช่วยลดคาร์บอนและเพิ่มฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ตลาดแต่ละกลุ่มได้จริง พร้อมปรับองค์กรให้ขับเคลื่อนได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น อาทิ การสร้างสตาร์ทอัพในองค์กร การจัดเวทีให้คนรุ่นใหม่แสดงความสามารถ รวมถึงการเข้าไปลงทุนธุรกิจด้านกรีนในต่างประเทศ

นอกจากนี้ทิศทางการขับเคลื่อนองค์กรแห่งโอกาสด้วย “พลังคน” เพื่อสร้าง “โอกาส” และ “นวัตกรรมกรีน” น่าจะกลายเป็นหนึ่งในทิศทางหลักของเอสซีจีนับจากนี้ซีอีโอคนใหม่ของเอสซีจีเชื่อมั่นว่าการทำงานระหว่าง “คนรุ่นเขา” และการเปิดทาง “คนรุ่นใหม่” ให้คล่องตัวจะเป็นหัวใจสู่ความสำเร็จของการสร้างสรรค์นวัตกรรมใน 3-5 ปีข้างหน้า


สำนักข่าว เอ็นบีที คอนเนค  17 มิถุนายน 2567

ที่ศาลาประชาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย  นายชัยธวัช เนียมศิริ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลยเป็นประธานเปิดกิจกรรมอบรม โครงการจัดการขยะอันตรายจากชุมชน พร้อมด้วยนางจิรนันท์ สอนสุภาพ ผู้อำนวยการกองทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม รักษาราชการแทนปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลยเป็นผู้กล่าวรายงาน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการขยะอันตรายจากชุมชนให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การเก็บรวบรวมขยะอันตรายแบบแยกประเภทและการบรรจุหีบห่อให้เรียบร้อย เพื่อลดปริมาณขยะอันตรายจากชุมชนในจังหวัดเลยโดยขนส่งไปกำจัดอย่างถูกวิธีและถูกต้องตามหลักวิชาการ และเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอันเนื่องมาจากการปนเปื้อนสารพิษจากขยะอันตราย

จากสถานการณ์ปัจจุบันปัญหาขยะอันตรายนับได้ว่าเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดในด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการ ก่อให้เกิดมลพิษส่งผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเนื่องจากการเพิ่มของจำนวนประชากรการเจริญเติบโตและพัฒนาทางเศรษฐกิจสังคม และเทคโนโลยี ตลอดจนพฤติกรรมการอุปโภคและการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ขยะชุมชนมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มขึ้นของขยะอันตรายชุมชน อาทิ ถ่านไฟฉาย หลอดไฟ ภาชนะบรรจุน้ำยาทำความสะอาด กระป๋องสี และยาฆ่าแมลง แบตเตอรี่ เป็นต้น ปัจจุบันขยะอันตรายจากชุมชนที่เกิดขึ้นยังขาดระบบการคัดแยกออกจากขยะมูลฝอยรวม และการจัดการขยะอันตรายที่ดีแนวทางแรกที่มีความจำเป็นที่สุด จะต้องดำเนินการคัดแยกเพื่อลดปริมาณขยะอันตรายในชุมชนต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  16 มิถุนายน 2567

ที่มา : มติชนออนไลน์ (https://www.matichon.co.th/bullet-news-today/news_4623086)

กระบี่ อีกหนึ่งจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก จากข้อมูลเมื่อปี 2566 พบว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนกว่า 3.8 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 5 หมื่นล้านบาท ทว่าท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวต้องแลกมากับปัญหาขยะล้นเมืองที่สั่งสมมาตลอด ซึ่งในอดีตตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมาใช้วิธีสร้างพื้นที่ฝังกลบขยะขนาดใหญ่บนพื้นที่ 251 ไร่ ต่อมาขยะมูลฝอยมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เฉพาะแค่ เขตเทศบาลเมืองก็มีขยะใหม่เพิ่มเฉลี่ยวันละ 200 ตันต่อวัน ที่ส่วนใหญ่มาจากการกินใช้ในชีวิตประจำวัน อาทิ เศษอาหารสด เปลือกมะพร้าว ถุงพลาสติก เศษกระดาษ เศษผ้า หลอดดูดน้ำ วัสดุ เฟอร์นิเจอร์ชำรุด ฯลฯ ตกค้างเป็นกองภูเขาขยะรอกำจัดมากกว่า 8 แสนตัน จนเกิดการร้องเรียนของชาวบ้านเกี่ยวกับผลกระทบเรื่องกลิ่นเหม็น แมลงวัน รวมถึงน้ำชะขยะที่ทำให้น้ำบ่อใต้ดินไม่สามารถใช้ได้หลังศึกษาวิธีจัดการขยะที่เหมาะสมมานานกว่า 20 ปี ในที่สุดกระบี่ก็มีแนวคิดจะกำจัดขยะด้วยวิธีการเผาในระบบปิดแล้วนำพลังงานความร้อนที่ได้มาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าแบบเดียวกับที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม อาทิ อังกฤษ เยอรมนี สวีเดน สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่น เลือกใช้ เพราะเชื่อว่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะกับสิ่งแวดล้อมมากสุด จึงได้มีการออกเงื่อนไขการประกวดราคาเพื่อหาภาคเอกชนที่มีศักยภาพ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญมาร่วมทุนกับเทศบาลฯ พร้อมเสนอกระทรวงมหาดไทยพิจารณาอนุมัติประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างเพื่อดำเนินโครงการ “โรงไฟฟ้าขยะชุมชนเทศบาลเมืองกระบี่” ขึ้นภายในบริเวณศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองกระบี่แห่งนี้

ในที่สุดก็ได้คัดเลือกบริษัท อัลไลแอนซ์ คลีน เพาเวอร์ จำกัด ภายใต้กลุ่มบริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE ที่มีประสบการณ์ในการทำโรงไฟฟ้าขยะชุมชนร่วมกับเทศบาลนครขอนแก่นมาเป็นผู้รับผิดชอบ โดยใช้เทคโนโลยีเผาตรงระบบปิดแบบสุญญากาศเช่นเดียวกับที่ขอนแก่น และกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วดังเช่นที่กล่าวข้างต้น อันเป็นโมเดลโรงไฟฟ้าขยะชุมชนต้นแบบที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากชุมชนและหน่วยงานในประเทศและต่างประเทศ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษ หรือผลกระทบใดต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมแน่นอน โดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 รองรับการนำขยะมากำจัดได้สูงสุดวันละ 450 ตัน เทคโนโลยีเผาตรงระบบปิด ไร้กลิ่น ไร้มลพิษ ไร้น้ำเสีย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจุดเด่นโรงไฟฟ้าขยะชุมชนแห่งนี้ คือ การใช้กระบวนการผลิตไฟฟ้าแบบ Direct..Incineration..ที่เป็นวิธีการเผาตรงระบบปิดแบบสุญญากาศ สามารถกำจัดขยะที่มีความชื้นได้สูงถึง 80% ที่สำคัญคือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะตลอดกระบวนการของโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะไม่ก่อให้เกิดกลิ่นเหม็น ด้วยระบบ Negative Pressure ไม่มีฝุ่นละออง ไม่มีการปล่อยน้ำออกนอกโครงการ โดยมีการบำบัดน้ำแบบครบวงจรและนำกลับมาใช้ตามหลัก Zero Discharge พร้อมติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศเชื่อมสัญญาณตรงไปยังกรมโรงงาน มอนิเตอร์ได้แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง จึงปลอดภัยต่อชุมชนรอบข้างเป็นอย่างมาก


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.