• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 23 พฤศจิกายน 2567

ที่มา: PostToday (https://www.posttoday.com/smart-city/715993)

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เปิดเผยว่า เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ ถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ในการจัดการภัยพิบัติอันเนื่องมาจากสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น ในห้วงการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (COP 29) ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน ได้มีการร่วมหารือทวิภาคีกับ นาย Yutaka Matsuzawa, Vice Minister for Global Environmental Affairs กระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่น เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือ ทั้งการส่งเสริมคาร์บอนเครดิต พร้อมยกระดับความร่วมมือลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีการเตือนภัยล่วงหน้า รับมือและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ดร.เฉลิมชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มอบหมายให้ นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หารือร่วมกับ Dr. Philipp Behrens, Head of the International Climate Change Initiative กระทรวงเศรษฐกิจและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ถึงแนวทางขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะการจัดทำ NDC 3.0 การดำเนินงานโครงการภายใต้แผนงานปกป้องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับสากล (IKI) ทั้งโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ และในอนาคต โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถเข้าสู่การผลิต และการบริการที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ รวมถึงรับทราบความก้าวหน้าเพื่อพัฒนาความร่วมมือจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิก Climate Club ของประเทศไทย ซึ่งได้เปิดตัว Global Matchmaking Platform (GMP) อย่างเป็นทางการใน COP29 ครั้งนี้ เพื่อให้เกิดการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และความร่วมมือระหว่างสมาชิก

ทั้งนี้ รมว.ทส. ยังได้มอบหมายให้อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมหารือกับ Ms. Fam Wee Wei ตำแหน่ง Director of Carbon Mitigation Division and International Trade Cluster (Green Economy and Sustainability) Division กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมแห่งประเทศสิงคโปร์ ในประเด็นการจัดทำข้อตกลงการดำเนินงาน ภายใต้ความร่วมมือข้อ 6 ของความตกลงปารีส


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  22 พฤศจิกายน 2567

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ (https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1154095)

ธุรกิจอัพไซเคิลกำลังเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในการพัฒนาวัสดุหรือวัตถุดิบเหลือทิ้ง ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ และก็ยังส่งเสริมความยั่งยืนในตอนนี้ได้ด้วยสภาพตอนนี้ที่การบริโภคขยายตัวทำให้เกิดปริมาณขยะจำนวนมาก ทั้งขยะมูลฝอยชุมชนและขยะพลาสติก รายงาน Global Waste Management Outlook 2024 บอกว่า ขยะมูลฝอยชุมชนทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 3.8 พันล้านตัน ภายในปี 2593 ทำให้ต้นทุนในการจัดการขยะทั่วโลกเพิ่มขึ้น จาก 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2563 เป็น 6.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2593

ส่วนประเทศไทยปี 2566 มีขยะมูลฝอยชุมชนมากถึง 26.95 ล้านตัน หรือเฉลี่ยประมาณ 73,840 ตัน/วัน ขยะปริมาณมหาศาลเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ทั้งปัญหาการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย และยังเป็นภาระทางคลังของประเทศ ตอนนี้ความท้าทายในการจัดการขยะจำนวนมาก และต้นทุนในการดำเนินการที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณขยะ ทำให้เกิดแนวคิดในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขยะ การอัพไซเคิล (upcycle) ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular..Economy) ที่ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

อัพไซเคิล มาจากคำว่า อัพเกรด (upgrade) ที่หมายถึง การพัฒนาให้ดีขึ้น รวมกับคำว่า รีไซเคิล (recycle) หมายถึง การนำวัสดุที่ไม่ใช้แล้วมาแปรรูปเป็นวัสดุ/ผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพเท่าเดิมหรือใกล้เคียงของเดิม ดังนั้น อัพไซเคิล จึงหมายถึง การนำวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว มาแปรรูป ออกแบบ ต่อยอด และพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-Design) เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ มีมูลค่ามากขึ้น และสามารถนำไปใช้งานได้จริง ตอนนี้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้ความต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงสินค้าและบริการอัพไซเคิลด้วย

บริษัทวิจัยการตลาด Grand View Research ได้รวบรวมมูลค่าตลาดอัพไซเคิลทั่วโลก และคาดการณ์ว่า ในปี 2568 ตลาดอัพไซเคิล จะมีมูลค่า 9.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5.6 ต่อปี เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดวัตถุดิบอัพไซเคิล (upcycled..ingredients)..ที่คาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 512 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2575 โดยเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 6.4 ต่อปี

ตลาดอัพไซเคิลขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ช่วยให้กระบวนการอัพไซเคิลมีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตลง อาทิ เทคโนโลยี AI สามารถใช้วิเคราะห์รายละเอียดวัสดุเหลือใช้ ทำให้การแยกขยะมีประสิทธิภาพ แม่นยำ และรวดเร็วขึ้น ใช้วิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการผลิต หรือใช้วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า

เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D..Printing)..สามารถนำมาใช้ในกระบวนผลิตสินค้าอย่างยั่งยืน และออกแบบสินค้าให้มีเอกลักษณ์ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจด้วย

ตัวอย่างแบรนด์ผลิตภัณฑ์อัพไซเคิลที่น่าสนใจ อาทิ แบรนด์ Forust..ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์และของใช้ในบ้าน ได้นำเศษขี้เลื่อยที่เหลือจากอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ มาขึ้นรูปและใช้เทคโนโลยี 3D Printing ในการออกแบบชิ้นงาน ลายไม้ และสี รวมถึงพิมพ์เป็นรูปร่างต่างๆ อาทิ คอนโซลรถยนต์ โคมไฟ และแจกัน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  21 พฤศจิกายน 2567

ที่มา https://www.thaipost.net/environment-news/693780/

สัญญาณเตือนว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนไปจากอุณหภูมิสูงขึ้น หายนะจะตามมาดังนี้

1.ทวีปแอนตาร์กติกเป็นทวีปที่มีน้ำแข็งปกคลุมตลอดทั้งปี แต่ปัจจุบันกลับมีพืชปกคลุมมากขึ้น มีสีเขียวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิในทวีปแอนตาร์ก ติกสูงขึ้นเรื่อยๆ

2.จากภาพถ่ายดาวเทียม ในปี1986 พบว่ามีพืชปกคลุมในทวีปแอนตาร์กติกน้อยกว่า 1 ตารางกิโลเมตร แต่ในปี 2021 กลับมีพืชปกคลุมเพิ่มขึ้นถึง 12 ตารางกิโลเมตร และพบว่าในปี 2022 เริ่มมีดอกไม้บานเกิดขึ้นในทวีปแอนตาร์กติก รวมทั้งมีสาหร่ายสีเขียวเกาะอยู่บนน้ำแข็งเต็มไปหมด ขณะที่น้ำแข็งละลายมากขึ้น

3.อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีของทวีปแอนตาร์กติกาจะอยู่ระหว่าง -10°C บนชายฝั่งไปจน ถึง -60°C ในส่วนที่เป็นภูเขาและบริเวณใกล้ชายฝั่งอุณหภูมิอาจสูงเกิน 10°C ในฤดูร้อน ขณะที่ทวีปแอนตาร์กติกาที่อยู่ขั้วโลกใต้กำลังมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 5 เท่า ตั้งแต่ปี 1950 ถึงปัจจุบันแอนตาร์กติกามีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเกือบ 3°C (5.4°F) แล้ว

4.โลกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำแข็งละลายมากขึ้น พายุมีจำนวนมากและรุน แรงทำลายล้างมากขึ้น ฝนจะตกหนัก น้ำท่วมดินถล่มจะตามมา ฤดูร้อนอากาศจะร้อนมาก เชื้อโรคบางชนิดจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเกิดโรคแปลกๆ ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ระบบนิเวศทางบกทางน้ำและในทะเลจะเปลี่ยนแปลง รวมทั้งสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนจะเปลี่ยนไปใครปรับตัวได้ก็จะอยู่รอดใครปรับตัวไม่ได้ก็จะตายไป   ถึงวันนี้แม้จะมีการประชุม COP ก็ยังไม่สามารถหยุดสภาวะโลกร้อนได้ น่ากลัวสำหรับรุ่นลูกและรุ่นหลาน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  20 พฤศจิกายน 2567

ที่มา: https://www.mcot.net/view/LR3JgsJE

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดเวทีแถลงข่าว NRCT Talk Phase 2 ครั้งที่ 1 ผลงานวิจัย “อาคารคาร์บอนต่ำ” ณ ศูนย์จัดการความรู้การวิจัย อาคาร วช.1 โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของ ผศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ จินต์จันทรวงศ์ หัวหน้าโครงการวิจัย และ ดร.มนสินี อรรถวานิช ผู้ร่วมโครงการ และคณะ จากคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พร้อมด้วย นายกฤษฎา พลทรัพย์ บริษัท กรีนสเปซ อาคิเทค จำกัด และ นายระพี บุญบุตร ห้างหุ้นส่วนจำกัด อาทิตย์ เวนติเลเตอร์

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ส่งเสริมงานวิจัยที่นำมาใช้ประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพในหลากหลายมิติ โดยโครงการอาคารคาร์บอนต่ำถือเป็นก้าวสำคัญ ในการนำงานวิจัยและนวัตกรรมนำการออกแบบอาคารให้สอดคล้องกับหลักการการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โครงการนี้สามารถเป็นต้นแบบที่มีคุณค่าให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ในการนำไปใช้ต่อยอดและปรับปรุงโครงสร้างที่มีอายุการใช้งานมานาน มาดำเนินการเป็นพื้นที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ในการนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้เผยแพร่ความสำเร็จของโครงการที่ได้นำงานวิจัยและนวัตกรรมมาปรับปรุงอาคารเก่าที่มีอายุกว่า 30 ปี ให้กลายเป็นอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง

ผศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ จินต์จันทรวงศ์ หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า แนวคิดการปรับปรุงและการพัฒนาอาคารคาร์บอนต่ำเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ เริ่มตั้งแต่กระบวนปรับปรุง การใช้วัสดุธรรมชาติอย่างไม้ยางพาราซึ่งโมเดลอาคารคาร์บอนต่ำ การตรวจวัดและคำนวณที่สามารถแสดงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 25 เท่า เมื่อเทียบกับกระบวนการปรับปรุงแบบเดิม โดยคาดว่าอาคารคาร์บอนต่ำจะสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 40 – 50 ปี ซึ่งเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่เป็นการแสดงถึงศักยภาพของงานวิจัยและนวัตกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยการวิจัยและนวัตกรรม


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  19 พฤศจิกายน 2567

ที่มา : ข่าวสด ออนไลน์ (https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_9510090)

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จัดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 4 ประจำปี 2567 “The 4th International Conference on Environment, Livelihood, and Servicing”​โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มูลนิธิชัยพัฒนา ร่วมกับคณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 4 ประจำปี 2567 เรื่อง “The 4th International Conference on Environment, Livelihood, and Servicing ในระหว่างวันที่ 19 – 21 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร และถ่ายทอดผ่านระบบออนไลน์ ในรูปแบบไฮบริด

ในการนี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ทรงเปิดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมทรงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “Sustainable Development through the Initiatives of the Chaipattana Foundation : Safeguarding Against Global Changes” ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เวลา 15.00 น.​สำหรับการประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อม The..4th International Conference on Environment, Livelihood, and Servicing ประจำปี 2567 จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้การจัดการน้ำเสียด้วยวิธีทางธรรมชาติตามแนวพระราชดำริ การรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก และการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเปิดโอกาสให้แก่นักวิจัย และนักศึกษา ได้แสดงผลงานวิจัย และสร้างเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อม โดยในการประชุมครั้งนี้ จะมีหัวข้อการประชุมใน4 หัวข้อหลัก ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและการปรับตัวของทรัพยากรธรรมชาติ การเตรียมพร้อม เพื่อรับมือกับ ภัยพิบัติและมลพิษทางธรรมชาติ มาตรการลดการปลดปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์และการปรับตัวตามสิ่งแวดล้อม การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นรวมจำนวน 3 วัน โดยมีวิทยากรพิเศษ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากนานาประเทศ อาทิ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐออสเตรีย เครือรัฐออสเตรเลีย แคนนาดา สหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐฝรั่งเศส

​                 นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอผลงาน และการเสวนาแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยผู้แทนองค์กรชั้นนำจากนานาประเทศ จำนวน 131 เรื่อง รวมทั้งการจัดกิจกรรมค่ายโครงการแข่งขันการพูดสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษ โครงการนวัตกรรมบูรณาการศาสตร์ หรือ KU..Innovation..และโครงการประชุมวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมระดับชาติของนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรี โดยมีนักวิชาการจากทั่วโลกนักเรียน และนักศึกษาผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 450 ราย


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  18 พฤศจิกายน 2567

ที่มา https://www.matichon.co.th/politics/news_4901203

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (บอร์ดสิ่งแวดล้อม) ครั้งที่ 3/2567  ณ ห้องประชุม 301ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาลโดย มีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. เป็นรองประธานกรรมการ และ นายประเสริฐ ศิรินภาพร เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว

นายประเสริฐ ได้ให้มอบนโยบายใน 5 ประเด็น คือ 1.ให้ความสำคัญกับภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม 2.ขอให้ ทส. และ มท. ดำเนินการเชิงรุก สร้างความรู้ความเข้าใจกับจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม 3.เตรียมความพร้อมสู่การบังคับใช้มาตรฐาน การระบายมลพิษทางอากาศจากรถยนต์เบนซินและดีเซลผลิตใหม่ตามมาตรฐานยูโร 6 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากรถยนต์ 4.การพิจารณารายงาน EIA ให้เป็นไปอย่างรอบคอบ ใช้ข้อมูลสำหรับโครงการนั้น ๆ ประเมินผลกระทบฯ และเน้นการรับฟังจากประชาชน และ 5.ขอให้ ทส.ให้ความสำคัญกับมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านมลพิษจากพลาสติก รวมทั้งสิ่งแวดล้อมทางทะเล

โดยที่ประชุมมีการเห็นชอบเรื่องที่สำคัญ 4 เรื่อง ดังนี้ 1.แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 รวม 43 จังหวัด 2.การเร่งรัดการบังคับใช้มาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากรถยนต์เบนซินผลิตใหม่ ตามมาตรฐานยูโร 6 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากรถยนต์ 3. โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) และ 4.ได้เห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม 5 โครงการ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  17 พฤศจิกายน 2567

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/royal/1153629

อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ครั้งที่ 1/2567 โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่ากทม. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมเปิดศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.)

โดยรองนายกฯ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการฯ หลังจากนายกรัฐมนตรีลงนามคำสั่ง เพื่อนำข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ซึ่งกำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งขับเคลื่อนมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 และให้นโยบายเน้นย้ำทุกหน่วยงานลดจุดความร้อนให้ได้ตามเป้าหมายทั้งในพื้นที่ 14 กลุ่มป่า และพื้นที่เกษตรโดยเฉพาะกลุ่มพืชสำคัญ โดยใช้กลไกความร่วมมือในทุกระดับเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนเพื่อลดจุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้าน ควบคุมฝุ่นในเมืองทั้งการตรวจจับและระงับการใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกิน ค่ามาตรฐาน ตรวจกำกับโรงงานอย่างเข้มงวด และต้องมีการสื่อสารประชาสัมพันธ์ ทั้งในภาวะปกติและเพิ่มความเข้มข้นในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะในระดับพื้นที่ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์กลางในการบัญชาการระดับจังหวัดและให้ข้อมูลเพื่อลดความตระหนกของประชาชน

ทั้งนี้ การประชุมในวันนี้ มีประเด็นพิจารณา ดังนี้ 1. ให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติให้เป็นไปตามปฏิทินการปฏิบัติงานภายใต้มาตรการรับมือสถานการณ์ ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 2. เห็นชอบในหลักการให้หน่วยงานที่มีความจำเป็นเสนอโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบกลาง ไปยังสำนักงบประมาณเป็นการเร่งด่วนเพื่อให้ทันต่อการดำเนินงานรับมือกับสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 ที่จะเกิดขึ้นในช่วง ม.ค. – พ.ค. 2568 3. แต่งตั้งคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการ 14 กลุ่มป่าเป้าหมาย เพื่อบัญชาการ เฝ้าระวัง ควบคุมไฟป่าและหมอกควันแบบไร้รอยต่อเขตป่าหรือเขตปกครอง และบูรณาการความร่วมมือของชุมชนรอบป่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และทหาร เน้นความปลอดภัย ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย 4. แต่งตั้งคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 กรุงเทพมหานคร เพื่อแก้ปัญหาในเขตเมือง 5. แต่งตั้งคณะทำงานสื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ เพื่อเน้นการสื่อสารประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทาง สร้างความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสุขภาพของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวด้วย


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  16 พฤศจิกายน 2567

ที่มา : สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย (https://www.efinancethai.com/sustainability/sustainability-main.aspx?release=y&name=st_202411150919)

ในยุคที่ทั่วโลก โดยเฉพาะภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ต่างให้ความสำคัญเรื่องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ด้วยการปรับตัวสู่การพัฒนาและการใช้พลังงานสะอาด ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพไปพร้อม ๆ กัน บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ผู้ดำเนินธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่เดินหน้าเอาจริงเอาจังกับการดูแลสิ่งแวดล้อมมาตลอดระยะเวลากว่า 32 ปี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยวิสัยทัศน์ “เป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจพลังงานอย่างยั่งยืน ด้วยความใส่ใจที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม” ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามกรอบ ESG เรามาดูกันว่า EGCO..Group..มีวิธีการดำเนินธุรกิจไฟฟ้า ผ่านโรงไฟฟ้ากว่า 40 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศ รวม 8 ประเทศ ด้วยกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 7,019 เมกะวัตด์ และธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน ได้อย่างไร

EGCO Group มีความเชื่อขององค์กรว่า “ต้นทางที่ดี จะก่อกำเนิดผลลัพธ์ปลายทางที่ดี“ โดยให้ความสำคัญกับการร่วมแก่ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกและดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ผ่านการกำหนดเป้าหมายมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ 3 ระยะ ได้แก่ – เป้าหมายระยะสั้น ภายในปี 2030 (พ.ศ.2573) EGCO Group ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการผลิดไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% (จากปัจจุบัน 21%) และลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ลง 10% จากการปรับปรุงโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีการนำไฮโดรเจนหรือแอมโมเนีย มาเป็นเชื้อเพลิงผสมในโรงไฟฟ้า (Hydrogen or Ammonia co-fring) และเพิ่มกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนศึกษาการใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture , Utilization and Storage – CCUS) ในโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่ พร้อมแสวงหาโอกาสลงทุนในเทคโนโลยีไฮโดรเจนตลอดห่วงโซ่อุปทาน – เป้าหมายระยะกลาง ภายในปี 2040 (พ.ศ.2583) บริษัทมีเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon..Neutral)..ทั้งจากการเพิ่มกำลังผลิดไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง และการเลือกใช้พลังงานทางเลือก โดยเฉพาะไฮโดรเจน ที่มีแผนจะดำเนิน ธุรกิจไฮโดรเจนตลอดห่วงโซ่อุปทานในเชิงพาณิชย์ รวมถึงขยายการใช้เทคโนโลยี..CCUS..ในโรงไฟฟ้าต่าง ๆ และตรวจวัด ชดเชย และรายงานการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างใกล้ชิด – เป้าหมายระยะยาว ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) การมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ คือการบรรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ผ่านการใช้เชื้อเพลิงสะอาด ควบคู่กับเทคโนโลยี CCUS ในโรงไฟฟ้าต่าง ๆ แบบ 100% และขยายธุรกิจไฮโดรเจนตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง


© 2025 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.