• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  12 กุมภาพันธ์ 2567

ที่มา: https://thaipublica.org/2024/02/bangchak-low-emission-support-scheme-pr-12022024/

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผลักดันแนวคิด “ลดขยะต้นทางกับบางจากฯ” อย่างเป็นรูปธรรม หนุนมูลนิธิใบไม้ปันสุข และพันธมิตร รับใบประกาศเกียรติคุณ “โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซ เรือนกระจก” หรือ โครงการ LESS: Low Emission Support Scheme จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นผลจากการรณรงค์ให้ผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ ร่วมลดขยะจากต้นทาง ผ่าน 2 โครงการสำคัญ ได้แก่ รักษ์ ปัน สุข จูเนียร์ และโครงการเก็บกล่องสร้างบ้านเพื่อมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สามารถรวบรวม ของเสียเกือบ 10 ตัน ให้กลับเข้าสู่ระบบด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน Circular Economy ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นางกลอยตา ณ ถลาง รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และกรรมการมูลนิธิใบไม้ปันสุข กล่าวว่า บางจากฯ มีความมุ่งมั่นในการรณรงค์ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางธุรกิจตระหนักถึงวิกฤตภูมิอากาศและการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า ผ่านหลากหลายภารกิจเพื่อร่วม “ลดขยะต้นทางกับบางจากฯ” โดยการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เช่น บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจีซี (SCGC) และ บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้มีแนวปฏิบัติและเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม การได้รับใบประกาศเกียรติคุณนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ สามารถประเมินการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการจัดเก็บวัสดุเหลือใช้ต่าง ๆ นำไปหมุนเวียนใช้ประโยชน์อื่น ๆ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ ด้วย Circular Economy ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมผ่านหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่

โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme) หรือ LESS โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก มีแนวคิดในการพัฒนารูปแบบการดำเนินกิจกรรม เพื่อสร้างความตระหนักให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และยกย่องผู้ทำความดีโดยการมอบใบประกาศเกียรติคุณ (Letter of Recognition: LOR)


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  11 กุมภาพันธ์ 2567

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ (https://www.bangkokbiznews.com/environment/1112254)

เวที CAL Forum รุ่น 3 สู่เป้าหมายลดโลกร้อนพิชิต “Net Zero” สานต่อภารกิจรุ่นสู่รุ่น เร่งกระบวนการปรับแก้กฎหมายช่วยโลกให้ดีขึ้น ลดสัดส่วนฟอสซิล เพิ่มพลังงานสะอาด เดินหน้านโยบายสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ภายใต้ราคาที่เป็นธรรม ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อม “องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (TGO)..โดยสถาบันวิทยาการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (CAA) จัดเวทีผู้นำ “Climate Action Leaders Forum รุ่น 3” หรือ CAL Forum #3 ครั้งที่ 1 จำนวน 69 ท่าน จากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา สื่อมวลชน และองค์กรอิสระร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง แนวคิด ประสบการณ์ โดยเฉพาะการเปลี่ยแปลบงสภาพภูมิอากาศ การกีดกันทางการค้า สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน รักษาระดับราคา และดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

           นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กล่าวว่า โครงการ CAL Forum เป็นการรวมตัวของผู้นำภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน รวมถึงเอ็นจีโอ ต่าง ๆ ที่มีบริบทและ DNA เดียวกันถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชากรทั่วโลก “ที่ผ่านมาได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์มาแล้ว 2 รุ่น โดยรุ่นที่ 1 มีผู้เข้าร่วม 49 ท่าน รุ่นที่ 2 มีจำนวน 63 ท่าน ส่วนรุ่นที่ 3 นี้มีจำนวน 69 ท่าน” อย่างไรก็ตาม จากการที่ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของโลก หากย้อนกลับไปเวที่ COP 26 ได้เริ่มมีความจริงจังในเรื่องนี้ที่เข้มข้นขึ้น และประเทศไทยก็ได้ปรับเป้าหมาย Carbon Neutrality หรือความเป็นกลางทางคาร์บอน ปี 2550 และ เป้าหมาย Net zero emissions หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ปี 2065 เพื่อสอดรับกับทั่วโลก ทั้งนี้ ประเทศไทยจะต้องดำเนินการหลายอย่างทั้งในเรื่องของกฎหมาย กระบวนการ ที่ภาครัฐต้องปรับปรุง กระทรวงพลังงานได้ปรับแผนพลังงานชาติ ซึ่งสิ่งสำคัญคือเรื่องของกฎหมายเมื่อขยับเข้ามาเวที COP 27 มีวิวัฒนาการต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในช่วงการ CAL Forum#2 มีเรื่องของการเงินการลงทุน และการค้าข้ามพรมแดนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น พอมารุ่นที่ 3 มีการจัดเวที COP 28 ที่ต้องสร้างประสิทธิภาพการใช้พลังานในรูปแบบพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเป็น 3 เท่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นผลลัพธ์ของการประชุมทั่วโลก


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  10 กุมภาพันธ์ 2567

ที่มา https://www.dailynews.co.th/news/3156643/

รถยนต์ไฟฟ้า กำลังเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลหลักๆ คือ ความประหยัด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่ดูดี ยังมีปัญหาใหญ่ซ่อนอยู่ นั่นคือ “ขยะพิษจากแบตเตอรี่”

ปริมาณขยะพิษจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า คาดการณ์ว่าภายในปี 2025 จะมีขยะแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน มากถึง 1.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเป็น 7.8 ล้านตันภายในปี 2030

รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพ แต่ปัญหาขยะพิษจากแบตเตอรี่ จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน อนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าจะยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขึ้นอยู่กับการจัดการปัญหาขยะพิษอย่างมีประสิทธิภาพ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  9 กุมภาพันธ์ 2567

ที่มา: https://www.kaohoon.com/news/654198

NEX เดินหน้ายานยนต์ไฟฟ้า EV Bus ไร้คนขับต้นแบบเทคโนโลยี 5G คันแรกของประเทศไทย สื่อสารร่วมกับโมบายแอปพลิเคชัน ยกระดับการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ควบคู่กับการสร้างสิ่งแวดล้อมให้มีความยั่งยืน

นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ได้เปิดเผยว่า รถบัสไฟฟ้าไร้คนขับต้นแบบ เทคโนโลยี 5G คันแรกของไทย ที่ยกระดับการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเปิดให้บริการในพื้นที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สื่อสารร่วมกับโมบายแอปพลิเคชันด้วยเทคโนโลยี 5G ระหว่างรถบัสไฟฟ้าไร้คนขับกับประชาชน และนักท่องเที่ยวในเขตโบราณสถานเป็นการทดลองใช้งานรถบัสไฟฟ้าไร้คนขับต้นแบบที่วิ่งร่วมกับรถทั่วไปในท้องถนนจริง โดยนำเอาระบบสื่อสารภายใต้โครงข่าย 5G มาใช้งาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด นับเป็นนวัตกรรมการขนส่งไร้คนขับด้วยศักยภาพ 5G ที่สอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ควบคู่ไปพร้อมกับการสร้างสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน

นางสาวศุภมาศ อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เริ่มเป็นที่นิยม และถูกพูดถึงบ่อยครั้งในปัจจุบัน เมื่อมีการเผชิญปัญหาโลกร้อน มลพิษทางอากาศ PM 2.5 และทิศทางพลังงานโลกที่มุ่งไปสู่การผลิตและใช้พลังงานที่มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบสุทธิเป็นศูนย์ จึงทำให้รัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย สนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีข้อดี คือ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษทางเสียง ประสิทธิภาพสูงด้านอัตราเร่ง และประหยัดค่าใช้จ่าย

สำหรับความร่วมมือพัฒนาโครงการฯ ในครั้งนี้ เป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่สามารถพัฒนาให้ทัดเทียมต่างประเทศ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาองค์ความรู้เรื่องยานยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ ทั้งด้านการพัฒนาบุคลากรรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และความร่วมมือในการผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่เติบโตสูงในอนาคต


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  8 กุมภาพันธ์ 2567

ที่มา : The Bangkok insight (https://www.thebangkokinsight.com/news/politics-general/general/1269409/)

ปลัด ทส. สั่งเข้มทุกหน่วย แก้ปัญหา “PM2.5”..ย้ำพุงระดับสีแดงติดกัน 3 วัน ยกระดับ 6 มาตรการคุมเผา นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ครั้งที่ 1/2567 ร่วมกับ ผู้ทรงคุณวุฒิ และอนุกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการฯ ณ ห้องประชุม 202 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผ่านระบบ Video..Conference เน้นย้ำการบูรณาการร่วมกัน ทำงานเชิงรุกโดยให้ทุกหน่วยงานพิจารณากำหนดมาตรการให้มีความเข้มข้นและเป็นรูปธรรมบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเร่งเดินหน้าคืนอากาศสะอาดให้ประชาชน 6 มาตรการแก้ฝุ่นที่ประชุมฯ ได้ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ปี 2567 ใน 6 ประเด็น คือ

สถานการณ์การเกิดไฟในพื้นที่ ( ป้าอนุรักษ์ 10 ป๋าสงวนแห่งชาติ และผลการควบคุม อาทิ ประสิทธิภาพการควบคุมการเกิดไฟในป่า การควบคุมผู้ข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ การจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่า การปฏิบัติ การดับไฟป่า ข้อมูล ข้อเสนอพื้นที่ 11 ป่าอนุรักษ์ 10 ป้าสงวนแห่งชาติ เพื่อให้เอกชนร่วมลงทุนในการแก้ไขไฟในป่า ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)การกำหนดเงื่อนไขการอนุญาตการเผาและการบริหารจัดการการเผาในพื้นที่เกษตรผลการกำกับควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตร ทั้งในพื้นที่ปลูกข้าว ข้าวโพดลี้ยงสัตว์ พื้นที่ภาคกลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ แผนลดการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่สูง และการเชื่อมโยงเงื่อนไขการไม่เผากับสิทธิประโยชน์ของภาครัฐ ละพื้นที่ปลูกอ้อย การบริหรจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร การจัดตั้งศูนย์รับซื้อวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและการสนับสนุนรถบรรทุกขนส่งมาตรการเพิ่มเงื่อนไขเรื่องการเผาในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรในการนำเข้า – ส่งออกสินค้า แนวทางการดำเนินการกรณีการใช้มาตรการด้านการค้าและมาตรการด้านภาษี เพื่อควบคุมภาคเอกชนของประเทศไทยที่ไปทำธุรกิจหรือนำเข้าสินค้าเกษตรที่มีการเผาจากประเทศเพื่อนบ้านการบังคับใช้กฎหมายภาคการจราจรและผู้กระทำผิดลักลอบการเผาในที่โล่งการประกาศหลักเกณฑ์ในการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินยกกระดับมาตรการ ฝุ่นพุ่งสีแดงติดกัน 3 วัน นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้พิจารณามาตรการฉุกเฉินยกระดับการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในช่วงสถานการณ์วิกฤต ประจำปี 2567 เมื่อปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่มากกว่า 75 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศไทย (AQ)..อยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ (สีแดง) ต่อเนื่อง 3 วัน โดยยกระดับความเข้มข้นการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  7 กุมภาพันธ์ 2567

ที่มา https://www.thaipbs.or.th/now/content/740

“เห็ดเผาะสิรินธร” หรือ 𝘴𝘵𝘳𝘢𝘦𝘶𝘴 𝘴𝘪𝘳𝘪𝘯𝘥𝘩𝘰𝘳𝘯𝘪𝘢𝘦 Watling, C. Phosri, N. Suwannasai, A.W. Wilson & M.P. Martin จะมีขนาดใหญ่กว่า “เห็ดเผาะ” ทั่วไปประมาณ 2-3 เท่า ขนาดของดอกเห็ดบางดอกมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 5.5 เซนติเมตร เมื่อเจริญเติบโตผิวภายนอกจะแตกออกเป็นแฉกรูปดาว เห็ดเผาะสิรินธรเป็นเห็ดเอคโตไมคอร์ไรซาซึ่งมีความสัมพันธ์กับไม้ในวงศ์ยาง (Dipterocarpaceae) สามารถนำมาบริโภคได้และเริ่มมีชาวบ้านเก็บหามาจำหน่าย โดยเรียกว่า “เห็ดเผาะผา” พบครั้งแรกของโลกในไทย และพบได้เพียง 2 แห่งเท่านั้น

ทั้งนี้ “เห็ดเผาะสิรินธร” ถูกค้นพบกระจายอยู่บนพื้นดินในป่าภูเขียว ซึ่งเป็นกลุ่มในป่าธรรมชาติร่วมกับไม้วงศ์ยางในระหว่างการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพของเห็ดขนาดใหญ่ในช่วงเดือน กรกฎาคม – กันยายน ปี 2555จากผลการศึกษาและตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ทางพันธุกรรม ฯ ทำให้ยืนยันได้ว่าเห็ดชนิดนี้เป็นเห็ดชนิดใหม่ ซึ่งพบครั้งแรกของโลกในประเทศไทย

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อให้กับเห็ดชนิดใหม่นี้ว่า “เห็ดเผาะสิรินธร”

ในปัจจุบันพบ “เห็ดเผาะสิรินธร” ได้เพียง 2 แห่งในประเทศไทย คือ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ และ ป่าชุมชนใกล้โรงเรียนประชานุเคราะห์ 31 อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  6 กุมภาพันธ์ 2567

ที่มา: https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_8083106

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 ที่ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดทส. พร้อมด้วย ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (อทช.) ตลอดจนคณะกรรมการฯ และผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมประชุม

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งนี้มีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องร่วมกันพิจารณาถึง (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะทะเลระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) เพื่อนำไปใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานแก้ไขปัญหาขยะทะเลแบบบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเร่งพิจารณา (ร่าง) แผนอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2568) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนการดำเนินอนุรักษ์และคุ้มครองพะยูนแหล่งที่อยู่อาศัยพะยูนในประเทศไทยให้มีความต่อเนื่อง ซึ่งต้องถือว่า การดำเนินแผนงานดังกล่าวในระยะที่ 1 นั้น ผลออกมาเป็นที่น่ายินดีเพราะสามารถออกกฎกระทรวงประกาศให้แหล่งอาศัยของพะยูนใน อ.ปะเหลียน จ.ตรัง เป็นพื้นที่คุ้มครอง ซึ่งถือว่ามีสำคัญต่อการจัดการเชิงพื้นที่ โดยเฉพาะการจัดการแหล่งหญ้าทะเลที่เป็นแหล่งอาหารและแหล่งอาศัยต่อจำนวนพะยูน ซึ่งขอให้เรารักษาบ้านของพะยูน ในทุกมิติของการอนุรักษ์พะยูน เพื่อการรักษาความสมบูรณ์ของท้องทะเลไทย

ด้าน ดร. ปิ่นสักก์ กล่าวว่า ผลการประชุม ครั้งนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจำนวน 4 แผน ประกอบด้วย นโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ พ.ศ. 2566 – 2570 แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะทะเลระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) แผนอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2568) และแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา (พ.ศ. 2567 – 2576) พร้อมทั้งเห็นชอบการกำหนดแนวเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่ ต.เกาะศรีบอยา อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ และเห็นชอบแผนที่ข้อมูลวิชาการของระบบกลุ่มหาดประเทศไทย ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2567) เพิ่มเติมอีกจำนวน 21 กลุ่มหาด รวมปัจจุบัน 44 กลุ่มหาด ถือว่าเป็นการยกระดับการคุ้มครองสัตว์ทะเลหายากและการจัดการปัญหาขยะทะเลที่สำคัญของประเทศไทย


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากระรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  5 กุมภาพันธ์ 2567

ที่มา : News.ch7 (https://news.ch7.com/detail/703566)

เศรษฐศาสตร์ตลาดสด วันนี้จะมาเล่าถึงปัญหา “ขยะ” ที่อยู่คู่ประเทศไทยมานานหลายปี..จากตัวเลขสถิติที่รายงานในเว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ ประเทศไทยมีขยะเกิดขึ้นจากการอุปโภคบริโภคและการผลิตทั่วประเทศรวม 25.7 ล้านตันในปี 2565 (เพิ่มขึ้นจาก 24.98 ล้านตันในปีก่อนหน้า) และมีปริมาณขยะตกค้าง 9.91 ล้านตัน โดยมีการนำกลับมาใช้ใหม่เพียง 8.8 ล้านตัน และมีการกำจัดอย่างถูกวิธี 9.8 ล้านตัน นั่นหมายความว่ามีปริมาณขยะที่ไม่ได้ถูกกำจัดอย่างถูกวิธีหรือตกค้างในปี 2565 รวม 17.01 ล้านตัน..ในปี 2565 กรุงเทพมหานครเป็นจังหวัดที่สร้างขยะใหม่ในแต่ละวันมากที่สุด คือ 1.289 หมื่นตันต่อวัน!! หรือก็คือ 4.705 ล้านตันต่อปี (18.3% ของขยะทั้งประเทศ) มีการนำกลับมาใช้ประโยชน์ 0.384 หมื่นตันต่อวัน ขยะที่เหลือมีการกำจัดอย่างถูกวิธี..ถัดมา คือ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งมีการสร้างขยะใหม่วันละ 3.12 พันตันต่อวัน มีการนำกลับมาใช้ประโยชน์ 290 ตันต่อวัน และด้วยศักยภาพที่จำกัดในการกำจัดขยะ ทำให้มีขยะเพียง 300 ตันถูกกำจัดอย่างถูกวิธี และในแต่ละวัน มีขยะที่ถูกกำจัดอย่างไม่เหมาะสมอยู่ถึง 2.53 พันตันต่อวัน โดยมีขยะตกค้างสะสมอยู่ 1.93 ล้านตันในปี 2565 อันดับที่สาม คือ จังหวัดชลบุรี มีการสร้างขยะใหม่วันละ 3.107 พันตันต่อวัน มีการนำกลับมาใช้ประโยชน์เพียง 250 ตันต่อวัน แต่มีการกำจัดขยะ 2.37 พันตัน อย่างถูกวิธี ขยะที่ถูกกำจัดอย่างไม่เหมาะสมมีอยู่ 470 ตันต่อวัน ทำให้เหลือขยะตกค้าง 4.706 แสนตันในปี 2565..ขยะที่ตกค้างเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของขยะที่ลอยมาติดป่าชายเลนในบริเวณอ่าวไทย อย่างเช่น ที่บ้านขุนสมุทรจีน ณ ตำบลแหลมฟ้าผ่า ซึ่งมีลักษณะเป็นอ่าวกอไก่ ที่มีน้ำไหลจากแหล่งน้ำหลายแหล่งไหลเวียนทั้งปี..การทิ้งขยะในแม่น้ำ หรือการทิ้งขยะจำนวนมากจนล้นสู่แหล่งน้ำ รวมถึงการจัดการขยะที่ไม่เหมาะสม ทำให้ขยะเหล่านี้รั่วไหลลงสู่ทะเล และขยะพลาสติกเหล่านี้ทำให้เกิดไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ กลายเป็นมลพิษทางทะเลและส่งผลต่อระบบนิเวศน์และสิ่งมีชีวิตในน้ำ..งานวิจัยสำรวจนานาชาติหลายชิ้นมีการระบุว่าประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกที่มีขยะรั่วไหลลงทะเลมากที่สุด

จากรายงานของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ขยะที่พบในทะเลไทยมากที่สุด ได้แก่ ขวดพลาสติกเครื่องดื่ม (ร้อยละ 22.00%) ถุงพลาสติก (ร้อยละ 19.42%) ขวดเเก้ว (10.96%) ห่อ/ถุงขนม (7.97%) เศษโฟม (7.55%) กระป๋องเครื่องดื่ม (7.46%) กล่องอาหารประเภทโฟม (6.92%) หลอด (6.45%) ฝาพลาสติก (5.67%)  เชือก (5.61%) บ้านขุนสมุทรจีนที่มีลักษณะเป็นอ่าวกอไก่ ต้องเผชิญกับปัญหาขยะที่ไหลมากับแหล่งน้ำที่เข้ามาไหลเวียน ขยะจำนวนมากที่ไหลมาติดอยู่ที่หมู่บ้าน มีทั้งขวดพลาสติก ถุงพลาสติก แก้วพลาสติก กล่องนม ขวดแก้ว ถังพลาสติก ถุงขนม เศษโฟม และอื่นๆ ด้วยกระแสน้ำจากทางใต้ไหลเข้าสู่อ่าว ขยะที่ไหลมาติดที่บ้านขุนสมุทรจีน ไม่เพียงแต่เป็นขยะที่ไหลลงมากับแม่น้ำ แต่ยังมีขยะที่ไหลมาจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย ปัจจุบันชาวบ้านจึงแก้ปัญหาด้วยการเก็บขยะพลาสติกที่ลอยอยู่เต็มแหล่งน้ำของหมู่บ้าน แล้วนำมาบดอัดรวมกับปูนทำแผ่นปูนอัดเพื่อทำถนนและทางเดินภายในหมู่บ้าน ซึ่งนอกจากจะเป็นการรีไซเคิลขยะพลาสติกแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายต้นทุนในการทำถนน และสร้างงานให้กับคนในพื้นที่การแก้หรือลดปัญหาขยะรั่วไหลลงทะเลสามารถทำได้ด้วยความร่วมมือของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เพียงแต่คนในพื้นที่ชุมชนป่าชายเลน นั่นคือ เราทุกคนช่วยกันลดปริมาณขยะในแต่ละวันด้วยวิธีง่ายๆ  เช่น หันมาใช้ภาชนะบรรจุอาหาร-เครื่องดื่มของตัวเองในการซื้ออาหาร-เครื่องดื่ม หรือปฏิเสธถุงฟรีที่ร้านสะดวกซื้อและร้านข้างทางต่างๆ ใส่มาให้ และแยกขยะที่สามารถรีไซเคิลกลับมาใช้ประโยชน์ได้ เป็นต้น รวมถึงช่วยกันส่งเสริมการกำจัดขยะอย่างถูกวิธี เช่น ทิ้งขยะในถังขยะ ไม่ทิ้งขยะข้างทางหรือลงแหล่งน้ำ นอกจากนี้ภาครัฐเองควรเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการขยะเหล่านี้ เพื่อลดภาระของชุมชนชายทะเล และรักษาระบบนิเวศน์ป่าชายเลน การควบคุมการทิ้งขยะและกำจัดขยะอย่างเหมาะสมทั่วประเทศเพื่อลดปัญหาขยะล้นและรั่วไหลลงสู่แหล่งน้ำ


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.