• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  31 มีนาคม 2567

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/sustainable/2774247

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เผยว่า ในปีนี้กรมประมงยังคงใช้มาตรการปิดอ่าวฝั่งทะเลอันดามัน ตามประกาศกรมประมง เรื่อง กำหนดพื้นที่และระยะเวลาฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวในที่จับสัตว์น้ำบางส่วนของจังหวัด พังงา กระบี่ และตรัง ลงวันที่ 22 มีนาคม 2561 โดยครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ตั้งแต่ปลายแหลมพันวา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ถึงปลายแหลมหยงสตาร์ อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2567

เนื่องจากผลการประเมินทางวิชาการในปีที่ผ่านมา พบว่าสัตว์น้ำเศรษฐกิจส่วนใหญ่มีความสมบูรณ์เพศสูงถึงเกือบร้อยละ 100 พร้อมที่จะผสมพันธุ์วางไข่ และพบสัตว์น้ำวัยอ่อนมีความชุกชุมและหนาแน่นสูง โดยเฉพาะช่วงเดือนมิถุนายนที่มีความหนาแน่นสูงถึง 5,161 ตัว/1,000 ลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ ยังพบว่าอัตราการจับสัตว์น้ำรวมจากเรือสำรวจประมงในช่วงมาตรการเพิ่มขึ้น 2.3 เท่า และหลังมาตรการเพิ่มขึ้นถึง 6.6 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนมาตรการ (ก่อนมาตรการ 48 กิโลกรัม/ชั่วโมง ระหว่างมาตรการ 110 กิโลกรัม/ชั่วโมง และหลังมาตรการ 317 กิโลกรัม/ชั่วโมง: ข้อมูล ณ วันที่ 28 มีนาคม 2567) รวมถึง สถิติผลการจับสัตว์น้ำของเรือประมงพาณิชย์และเรือประมงพื้นบ้านทางฝั่งทะเลอันดามัน (เขต 6 และ 7) ในปี 2567 มีปริมาณมากถึง 326,998 ตัน จึงเป็นการยืนยันได้ว่ามาตรการฯ ที่ใช้มีความถูกต้อง เหมาะสม และสอดคล้องกับฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ ทั้งในด้านพื้นที่ ช่วงเวลา และเครื่องมือที่มีการประกาศใช้มาตรการฯ

สำหรับงานในวันนี้ มีการประกอบพิธีบวงสรวงพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลในการประกาศใช้มาตรการฯ และปล่อยเรือตรวจประมงทะเลออกปฏิบัติงาน จำนวน 13 ลำ และยังมีการมอบแผ่นป้ายเงินอุดหนุนโครงการสร้างความเข้มแข็งกลุ่มการผลิตด้านประมง (กิจกรรมพัฒนาอาชีพชุมชนประมง) ประจำปี 2567 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอาชีพและฟื้นฟูทรัพยากรประมงให้แก่ชุมชนประมงท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการนำเสนอข้อมูลความรู้ทางการประมงในหัวข้อต่างๆ มากมาย อาทิ นิทรรศการนำเสนอมาตรการบริหารจัดการทรัพยากรฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อนพื้นที่ทะเลอันดามัน การเพาะพันธุ์ปลาการ์ตูน การเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นนวัตกรรมใหม่จากเกษตรกรกลุ่มเหนือคลอง ขยะทะเลคืนฝั่ง ฯลฯ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  30 มีนาคม 2567

ที่มา : Thairath (https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2774229)

UNDP ชวนทุกคนคิดถึงสภาพอากาศในปี 2050 หรืออีก 26 ปีข้างหน้า ผ่านแคมเปญ Weather Kids นักพยากรณ์อากาศเยาวชน เร่งการเปลี่ยนแปลงก่อนโลกจะเดือดไปกว่านี้ วันที่ 28 มีนาคม 2567 มีรายงานว่า ใครที่ได้รับชมการถ่ายทอดการพยากรณ์อากาศในวันนี้ อาจรู้สึกประหลาดใจกับการพยากรณ์อากาศฉบับพิเศษจากปี ค.ศ.2050 แม้นี่จะเหมือนกับรายการพยากรณ์อากาศทั่วๆ ไป แต่ความพิเศษคือ รายการนี้ถูกดำเนินรายการโดยนักพยากรณ์อากาศรุ่นจิ๋ว และเป็นการคาดการณ์ถึงสภาพอากาศที่ทุกคนจะตื่นมาเจอในปี ค.ศ.2050 หรือในอีก 26 ปีข้างหน้า หากโลกของเราไม่สามารถต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีกว่านี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ “Weather Kids” ที่จัดขึ้นโดย โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ร่วมกับองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) และ “The Weather Channel” แบรนด์ผู้บริโภคหลักของ “The Weather Company” ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากนักแสดงชื่อดังระดับโลก และเป็นทูตสันถวไมตรีของ UNDP อาทิ นักแสดงชื่อดังชาวมาเลเซีย มิเชล โหย่ว เจ้าของรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ คอนนี่ บริตตัน นักแสดงชาวอเมริกันผู้มากความสามารถ และ นิโคไล คอสเตอร์-วัลดาอู นักแสดงชายชาวเดนมาร์ก โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของ UNDP เพื่อส่งเสริมการตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลง และเรียกร้องให้คนทั่วโลกร่วมมือกันป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจังเพื่อคนรุ่นถัดไป โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งของรายการได้มีการเตือนผู้ชมว่า อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นจะสร้างผลกระทบที่รุนแรงต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ซึ่งมันเป็นปัญหาที่เรากำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน และจะส่งผลกระทบต่อผู้คน สภาพเศรษฐกิจโลก รวมถึงส่งผลต่อประชากรเด็ก 94% ของโลก ในด้านการมีเสถียรภาพด้านอาหาร และความเป็นไปได้ที่ผู้คนทั่วโลกต่างต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น คิดเป็นจำนวนรวมกว่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ “ทุกอย่างกำลังประสบสภาวะที่น่าสะพรึงกลัว เช่น โรงเรียนถูกยกเลิกการเรียนการสอนเพราะอากาศร้อนเกินไป ไฟป่าที่เผาทั้งเมืองราบเป็นหน้ากลอง และน้ำท่วมทำให้ทุกอย่างเปียกชื้นและเละเทะ” หนึ่งในพิธีกรรุ่นจิ๋วรายงานการพยากรณ์สิ้นสุดด้วยการเรียกร้องอันทรงพลังจากเด็กๆ “สำหรับพวกเรา สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การรายงานสภาพอากาศ แต่มันคืออนาคตของพวกเรา“ ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนทุกท่านร่วมลงนามให้คำปฏิญาณในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโดยการใช้จ่ายเงินกับสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมความยั่งยืน และตระหนักรู้ถึงทางออกของปัญหาสภาพภูมิอากาศ ในขณะเดียวกัน วิดีโอซีรีส์ใหม่เรื่อง “Climate Action Explained” ของ UNDP ที่บรรยายโดย นิโคไล คอสเตอร์-วัลดาอู ยังได้ยกตัวอย่างแนวทางการแก้ปัญหาในปัจจุบันที่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้อย่างเป็นรูปธรรม “แคมเปญ Weather Kids จะเป็นพลังเสียงที่ทรงพลังในการเตือนตัวเราถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้น หากเราไม่เริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างมีประสิทธิภาพ” อาคิม สไตเนอร์ ผู้บริหารของ UNDP กล่าว “ความล่าช้าในการรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะทำให้โลกเข้าสู่สภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของ ‘เด็กๆ ในวันนี้’ และรุ่นอนาคต อย่างไรก็ดี เราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ หากเราเร่งการเปลี่ยนแปลงให้เร็วขึ้นและขยายออกไปเป็นวงกว้าง ซึ่งรวมถึงการลดการผลิตคาร์บอนในเศรษฐกิจของเรา และสร้างการเข้าถึงพลังงานสะอาดสำหรับทุกคน การปกป้องและการฟื้นฟูธรรมชาติ และการผลักดันให้ชุมชนมีส่วนร่วมลงนามให้คำปฏิญาณการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศของพวกเขา”


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  29 มีนาคม 2567

ที่มา https://www.amarintv.com/news/detail/212004

ในปัจจุบันการสร้างความยั่งยืนเป็นประเด็นที่ภาคเอกชน ตื่นตัวและให้ความสำคัญมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนผ่านเกณฑ์ของฉลากสิ่งแวดล้อม ก็ยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากหลายสาเหตุ อาทิ การสร้างการรับรู้ที่ยังไม่ทั่วถึง การสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของฉลากสิ่งแวดล้อมยังไม่เพียงพอ รวมถึงข้อเสนอหรือแรงจูงใจในการสนับสนุนการใช้ฉลากสิ่งแวดล้อมยังไม่เอื้ออำนวยต่อภาคเอกชนเท่าที่ควร ดังนั้น สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ตอกย้ำการเป็นองค์กรชั้นนำด้านสิ่งแวดล้อม ที่น่าเชื่อถือและพึ่งพาได้ พร้อมขับเคลื่อนนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงรุก สู่การปฏิบัติร่วมกับภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ด้วยหลักธรรมาภิบาล จึงเดินหน้าเปิดเวทีเสวนา ในหัวข้อ “มารักษ์กัน เพื่อการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนด้วยฉลากเขียว” 

“การแก้ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือสภาพภูมิอากาศไม่ใช่หน้าที่หลักของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่ประชากรของโลกจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันในทุกภาคส่วน ในฐานะสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย มีหน้าที่เผยแพร่ชุดข้อมูล สร้างการตระหนักรู้ โดยเฉพาะ “ฉลากเขียวและฉลากสิ่งแวดล้อม” ให้แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนในการทำความเข้าใจ ให้รับรู้ถึงความหมายที่แท้จริง เพื่อผลดีของการเลือกซื้อ เลือกใช้สินค้าและบริการที่มีฉลากเขียวกำกับ”

 อย่างไรก็ดี การคาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม สภาพภูมิอากาศ อาจต้องใช้เวลา แต่ขณะนี้ทั่วโลกเริ่มตระหนักกันมากขึ้นแล้ว ทั้งการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์สันดาป เราแค่ต้องสื่อให้ทุกคนได้รับรู้ว่า การแก้ปัญหาในเรื่องนี้ไม่สามารถทำได้เพียงคนเดียว หรือองค์กรเดียว ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นหากทุกฝ่ายร่วมมือกัน เพราะเรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่งแต่เป็นเรื่องของคนทุกคน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  28 มีนาคม 2567

ที่มา: https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/80968

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 1/2567 พร้อมด้วย ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วย รมว.ทส. นายโกเมนทร์ ทีฑธนานนท์ ที่ปรึกษา รมว.ทส. นายนพดล พลเสน เลขานุการ รมว.ทส. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ ตลอดจนผู้บริหารระดับสูง และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ณ ห้องประชุม 202 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ที่ประชุมฯ ได้ติดตามความก้าวหน้าของโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยรมว.ทส. ได้สั่งการให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาทบทวนและเพิ่มเติมรายละเอียดโครงการ/กิจกรรม ให้เชื่อมโยงกับพระราชกรณียกิจ น้อมนำพระราชปณิธาน พระราชดำริ พระบรมราโชวาทที่เป็นการสืบสาน รักษา ต่อยอด ที่สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน และเร่งรัดการดำเนินงานจัดโครงการ/กิจกรรมอย่างสมพระเกียรติ พร้อมสั่งการให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกันวางแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 อย่างจริงจัง เตรียมพร้อมรับมือและปฏิบัติการเชิงรุกในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ป้องปรามและจับกุมการเผาป่า และควบคุมเฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ไม่ให้เกินค่ามาตรฐาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ร่วมกันวางแผนช่วยเหลือประชาชนในช่วงภัยแล้งไม่ให้ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค รวมถึงดูแลแหล่งน้ำผิวดินในพื้นที่และหาแหล่งน้ำใต้ดินเพิ่มเติม

นอกจากนี้ รมว.ทส. ยังได้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เน้นย้ำต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน รวมถึงการเตรียมข้อมูลการอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 152 รวมถึงเน้นย้ำนโยบายการแก้ไขปัญหาลิงรบกวนประชาชน โดยให้ประสานความร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัดและท้องถิ่น การแก้ไขปัญหาหญ้าทะเลเสื่อมโทรม เพื่อการอนุรักษ์พะยูน การเร่งขับเคลื่อนการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกให้บรรลุเป้าหมายของไทยที่ได้ตั้งไว้ และการเร่งผลักดันการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลก และรักษาสถานภาพของแหล่งเดิม


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  27 มีนาคม 2567

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ (https://www.bangkokbiznews.com/environment/1119515)

ทำความรู้จัก “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” หรือ “Global Plastic Treaty” เตรียมประกาศใช้ในปี 2568 ความหวังที่จะแก้ไข “ปัญหาขยะพลาสติก” และอาจเป็นข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดตั้งแต่ความตกลงปารีส “ขยะพลาสติก” กลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก หลายประเทศประสบกับปัญหา “ขยะล้นเมือง” แต่นั่นยังไม่เป็นอันตรายเท่ากับ “ไมโครพลาสติก” พลาสติกที่แตกตัวออกกลายเป็นชิ้นส่วนขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งสามารถพัดพาไปทั่วโลก แม้แต่ในพื้นที่ห่างไกลที่สุดอย่างขั้วโลกเหนือก็ยังพบไมโครพลาสติก ไมโครพลาสติก กลายเป็นมลพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ทั้งในแหล่งน้ำ พื้นดิน และในอากาศ แทรกแซงห่วงโซ่อาหาร มีการศึกษาหลายชนิดที่ ตรวจพบไมโครพลาสติก และนาโนพลาสติกหลายประเภทในเนื้อเยื่อของมนุษย์ รวมถึงลำไส้ใหญ่ ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง รก และแม้แต่ในเลือดของมนุษย์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผู้นำจากประเทศทั่วโลก จึงได้พยายามผลักดันให้เกิด “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” เพื่อแก้ปัญหาขยะพลาสติก กำเนิด “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” 2 มีนาคม 2565 มีการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEA) ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ในโอกาสนั้น ผู้นำจากประเทศทั่วโลกได้มีมติสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติที่ 5/14 กำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการการเจรจาระหว่างรัฐบาล (Intergovernmental Negotiating Committee – INC) โดยมีภารกิจจัดทำมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายว่าด้วยมลพิษพลาสติก รวมถึงในสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยตั้งอยู่บนฐานของแนวทางที่ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก หลังจากนั้นการประชุมของ INC จึงเริ่มมีการกล่าวถึง “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” หรือ “Global Plastic Treaty” ซึ่งคาดหวังว่าจะมาตรการทางกฎหมายนี้จะต้องมีความสำคัญ และมีขอบเขตอำนาจสูง โดย อิงเจอร์ แอนเดอร์เซน ผู้อำนวยการโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เคยกล่าวว่า ปัจจุบัน สนธิสัญญาพลาสติกโลก ยังอยู่ในขั้นตอนการร่างกฎหมาย เนื่องจากมีหลาย ประเด็นที่แต่ละประเทศยังตกลงกันไม่ได้ แต่คาดว่าจะได้ข้อสรุปในการประชุม INC-5 ที่จัดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ ในช่วงปลายปี 2567 หลังจากนั้นในปี 2568 จะมีการประชุมระหว่างประเทศครั้งใหญ่เพื่อจัดตั้งมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศดังกล่าวอย่างเป็นทางการ และเปิดให้มีการลงนาม


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  26 มีนาคม 2567

ที่มา https://mgronline.com/daily/detail/9670000025677

นับตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมา ทะเลตรังพบพะยูนเกยตื้นตายแล้ว 4 ตัว โดยที่ผ่านมาจะพบว่า พะยูนเกยตื้นมากที่สุดในช่วงปลายปีประมาณ พ.ย. – ธ.ค. ส่วนที่ตายในปีนี้อาจเกี่ยวเนื่องกับปลายปีที่ผ่านมา คาดว่าในช่วงกลางๆ ปีมีโอกาสการเกิดขึ้นน้อยลง แต่ถือว่าเป็นตัวเลขค่อนข้างน่าเป็นห่วง

จากที่มีการเก็บข้อมูลมาหลายปี สาเหตุหลักของการเกยตื้นส่วนใหญ่เกิดจากอาการป่วย แต่ว่าค่อนข้างวินิจฉัยยาก เพราะส่วนใหญ่พบตอนซากเน่า อวัยวะภายในค่อนข้างที่จะพิสูจน์ยาก ซึ่งกรณีพะยูนตัวล่าสุด พบพยาธิในกระเพาะมากขึ้นชี้ชัดว่ามันป่วย พบหนองพบก้อนเนื้อที่คล้ายมะเร็งลักษณะผิดปกติในอวัยวะภายใน ซึ่งค่อนข้างจะเจอในสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของการเกยตื้น

ทั้งนี้ วิกฤตหญ้าทะเลลุกลามหนัก จ.ตรัง พบเสื่อมโทรมมาตั้งแต่ปี 2562 พบการตายของหญ้ามีเพิ่มขึ้นอีกหลายชนิด เช่น หญ้าคาทะเล หญ้าใบมะกรูด ซึ่งเป็นอาหารของพะยูน จากการสำรวจพบว่ามี 2 เกาะ ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงคือ รอบเกาะลิบง และ บริเวณเกาะมุกด์ กินพื้นที่กว่า 10,000 ไร่

สุดท้ายยังคงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด สำหรับการปัญหาการเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเล โดยเฉพาะในทะเล จ.ตรัง และ จ.กระบี่ ตลอดจนการขับเคลื่อนแนวทางอนุรักษ์พะยูนในทะเลไทย ที่ต้องยอมรับว่าเป็นความท้าทายอย่างมาก นับเป็นภารกิจที่ต้องร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  25 มีนาคม 2567

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/environment/1119020

การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ร่วมกับ บริษัท Nomura Jimusho Inc. ลงนาม MOU “โครงการศึกษาวิจัยร่วมการจัดหาเมล็ดยางพาราเพื่อเพิ่มมูลค่า” โดยจะมุ่งวิจัยจัดหาเมล็ดยางพารา แปรรูปเป็นพลังงานทางเลือก หวังสร้างสมดุลนิเวศระยะยาว เพิ่มมูลค่าเมล็ดยางแหล่งรายได้ใหม่เกษตรกร

นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า กยท. ตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากภาคการเกษตร โดยเล็งเห็นความสำคัญของการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยเฉพาะเมล็ดยางพารา ซึ่งมีประสิทธิภาพในการเพิ่มมูลค่าผ่านการแปรรูปเป็นวัตถุดิบชีวมวลสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ สร้างพลังงานทางเลือกและปรับความสมดุลทางระบบนิเวศในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยางพาราสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นช่องทางสร้างแหล่งรายได้ใหม่ให้กับเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยในอนาคต

การร่วมมือกันในครั้งนี้ว่า ในฐานะที่ กยท. เป็นองค์กรกลางรับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการยางพาราในประเทศทั้งระบบ ดำเนินงานโดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวสวนยาง โดยการยกระดับรายได้ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการทำสวนยางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอาชีพ นายณกรณ์ กล่าวต่อว่า “การร่วมกันศึกษาเมล็ดยางพาราตลอดห่วงโซ่อุปทานในครั้งนี้ จะทำให้ทราบถึงปริมาณและศักยภาพในการใช้เมล็ดยางพาราเป็นสารเติมแต่งทางชีวภาพ ซึ่งนอกจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเมล็ดยางพารา และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากภาคการเกษตรแล้ว ยังทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายชีวมวล ซึ่งจะพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรชาวสวนยางได้อย่างยั่งยืน”

ด้าน Mr. Shoji Nomura ประธานบริษัท Nomura Jimusho Inc. กล่าวย้ำถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมมือกันสนับสนุนให้เกิดสังคมที่เป็นกลางทางคาร์บอน และสนับสนุนการเติบโตของเกษตรกรชาวสวนยางผู้ปลูกเมล็ดพันธุ์ยางพารา เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  24 มีนาคม 2567

ที่มา : INN News  (https://today.line.me/th/v2/article/x2BgkP6)

ชัยภูมิ ส่งเสริมชาวบ้านสร้างทักษะการเรียนรู้ตามศาสตร์พระราชา ในโครงการปิดทองหลังพระ สร้างสมดุลการพัฒนา ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชุมชนตามแผนพัฒนาชนบทเชิงพื้นที่ประยุกต์ตามแนวพระราชดำริ (โครงการปิดทองหลังพระ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ตามหลักการยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) โดยได้กำหนดวิสัยทัศน์ว่า “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศษฐกิจพอเพียง” ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนโดยนายอริยะ เชื้อชม ผอ.สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดชัยฎมิ ได้รับนโยบายพร้อมได้สารต่อดำเนินงานแบบมีส่วนร่วมตามโครงการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชุมชนตามแผนพัฒนาชนบทเชิงพื้นที่ประยุกต์ตามแนวพระราชดำริ (ปิดทองหลังพระ) มุ่งเน้นการน้อมนำแนวพระราชดำริ ของรัชกาลที่ ๙ เผยแพร่สู่ชุชน โดยบูรณาการองค์ความรู้ตามแนวพระราชดำริใน 6 มิติหลัก ได้แก่ มิติด้านการอนุรักษ์น้ำอนุรักษ์ดิน เกษตรทฤษีใหม่ พลังงานทดแทน ฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ และสิงแวดล้อม ทั้งนี้ ต้องอาศัยกระบวนการความร่วมมือกับองค์กรรัฐ สถาบันวิชาการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาสังคมและภาคธุรกิจ รวมทั้งยึดหลักการทรงงานเป็นแนวทางหลักในการดำเนินโครงการฯ ตลอดจนพิจารณาความสอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของชุมชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะเป็นการดำเนินกิจกรรม เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และนำองค์ความรู้ไปสู่การพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.