• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  31 พฤษภาคม 2567

ที่มา https://www.nationtv.tv/gogreen/378944452

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ 7 อำเภอ จ.พังงา และ 5 อำเภอ จ.กระบี่ ต่อเนื่องจากเดิม พร้อมเพิ่มมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งใหม่ ในพื้นที่หมู่เกาะพยาม อ.เมืองระนอง จ.ระนอง อย่างจำเป็นเร่งด่วน

เพราะทรัพยากรธรรมชาติมีอยู่อย่างจำกัด จึงต้องได้รับการดูแลรักษาและฟื้นฟู โดยเฉพาะทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของไทยที่เป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวของคนทั่วโลก

แนวทางปฏิบัติ อาทิ ห้ามทิ้งขยะ ปล่อยน้ำเสีย ตะกอน การท่องเที่ยวดำน้ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อแนวปะการัง รวมทั้งการทิ้งสมอเรือ การให้อาหารสัตว์น้ำ การทำประมง การขุดหรือถมทะเล การจับหรือครอบครองปลาสวยงาม ซึ่งมาตรการดังกล่าวไม่ให้ใช้บังคับกับพื้นที่ราชการ เช่น กองทัพเรือ การปฏิบัติการของหน่วยงานรัฐ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การศึกษาและวิจัยทางวิชาการ หรือเพื่อประโยชน์ทางวิชาการ

“เมื่อประกาศกระทรวงฯ ทั้ง 3 ฉบับ ได้รับการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เชื่อมั่นว่าจะช่วยป้องกัน สงวน บำรุงรักษา และคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมที่มีคุณค่าในพื้นที่ให้คงอยู่ได้อย่างสมดุลตามธรรมชาติ และคงความสมบูรณ์ยั่งยืน ส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ทำให้เกิดรายได้กับประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับมามีความสมบูรณ์ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล คงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ เพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ เพิ่มรายได้กิจการประมงท้องถิ่น เป็นการบริหารทะเลและชายฝั่งให้เกิดความยั่งยืน”


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  30 พฤษภาคม 2567

ที่มา: https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_8259498#google_vignette

นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พร้อมด้วย น.ส.ระเบียบ ภูผา ผอ. กองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) ได้ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน วันสิ่งแวดล้อมโลก 2567 ภายใต้แนวคิด “Our land. Our future. We are #GenerationRestoration.” “พลิกฟื้นผืนดิน สู้วิกฤตภัยแล้ง” สร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นายเถลิงศักดิ์ กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดให้วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ทำให้ประเทศต่าง ๆ ตื่นตัวและหันมาให้ความสนใจดำเนินกิจกรรมที่ช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยในปีนี้ได้มาในแนวคิด “พลิกฟื้นผืนดิน สู้วิกฤตภัยแล้ง” มุ่งเน้นในเรื่องการฟื้นฟูที่ดิน การแปรสภาพเป็นทะเลทราย และการฟื้นตัวจากภัยแล้ง เนื่องจากโลกกำลังเผชิญวิกฤตทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และวิกฤตมลพิษและของเสีย ทำให้ที่ดินเสื่อมโทรม ส่งผลกระทบต่อประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของโลก อีกทั้งยังเป็นผลพวงมาจากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นราว 1.1 องศาเซลเซียส ที่ทุกประเทศประสบปัญหา ซึ่งภัยแล้งเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีผลกระทบรุนแรงและกว้างขวางต่อทุกภาคส่วนของสังคม ทั้งในด้านการเกษตร เศรษฐกิจ สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การปรับตัวต่อภัยแล้ง รวมถึงการฟื้นฟูที่ดิน จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ชุมชนและสังคมสามารถรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ด้าน น.ส.ระเบียบ ภูผา กล่าวว่า สำหรับการจัดงานวันสิ่งแวดล้อมโลก จะมีกิจกรรมที่น่าสนใจโดยภายในงาน จะมีการบรรยายให้ความรู้ ภายใต้หัวข้อ “พลิกฟื้นผืนดิน สู้วิกฤตภัยแล้ง” และเวทีเสวนา พื้นที่ต้นแบบ Success Model ของประเทศไทย โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และภาคีเครือข่ายในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการตั้งรับ การปรับต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในวันสิ่งแวดล้อมโลก เพื่อเตรียมพร้อมตั้งรับ ปรับตัว สร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สู้วิกฤตภัยแล้งไปด้วยกัน ในวันที่ 5 มิ.ย. 67 ที่ห้องประชุมวายุภักษ์ ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการ และคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  29 พฤษภาคม 2567

ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/environment/1128218

แนวคิดของการหยุดและย้อนกลับการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพภายในปี 2030 เป็นภารกิจที่เป็นหัวใจของแผนความหลากหลายทางชีวภาพหรือกรอบความหลากหลายทางชีวภาพระดับโลกของคุนหมิง-มอนทรีออล นํามาใช้ในช่วง COP15 แผนนี้เพื่อดูโลก “อยู่ร่วมกับธรรมชาติภายในปี 2050” ประกอบด้วยสี่เป้าหมายและ 23 เป้าหมายเป้าหมายที่ 15 เน้นย้ำอย่างชัดเจนถึงความจําเป็นในการประเมินและเปิดเผยโดยธุรกิจ

ธรรมชาติสนับสนุนเศรษฐกิจโลก มากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของโลก 44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ต้องพึ่งพาธรรมชาติในระดับปานกลางหรือมากผ่านการใช้น้ํา แร่ธาตุ และการควบคุมสภาพอากาศ เป็นต้น

รายงานความเสี่ยงระดับโลก ส่งสัญญาณว่าความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมเป็นครึ่งหนึ่งของความเสี่ยง 10 อันดับแรกในอีก 10 ปีข้างหน้า และจัดอันดับการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการล่มสลายของระบบนิเวศร่วมกันว่าเป็นความเสี่ยงระดับโลกที่ใหญ่เป็นอันดับสามสําหรับมนุษยชาติ

การวิจัยของแสดงให้เห็นว่าการลงทุนในเศรษฐกิจเชิงบวกตามธรรมชาติสามารถปลดล็อกโอกาสทางธุรกิจมูลค่า 10.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และสร้างงาน 395 ล้านตําแหน่งภายในปี 2573 เช่น การใช้การเกษตรเชิงปฏิรูปการจัดการป่าไม้ที่ยั่งยืน และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใสมากขึ้น สิ่งนี้จะช่วยเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจสามระบบที่รับผิดชอบการสูญเสียธรรมชาติเกือบ 80% อาหาร โครงสร้างพื้นฐาน และพลังงาน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  28 พฤษภาคม 2567

ที่มา : Thaipr.net  (https://www.thaipr.net/general/3476260)

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันการถูกคุกคามและการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แทบไม่น่าเชื่อโดยองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากลเปิดเผยข้อมูลช่วงพ.ศ. 2513-2561 ชนิดพันธุ์ในกลุ่มสัตว์มีกระดูกสันหลัง ลดลงกว่าร้อยละ 68 ความหลากหลายทางชีวภาพในโลกจึงกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยง สอดคล้องกับรายงาน Global Risks Report 2024 ที่ระบุว่าการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการล่มสลายของระบบนิเวศเป็นความเสี่ยงของโลกในอันดับต้น ๆ ร่วมกับสภาพภูมิอากาศสุดขั้วและการเปลี่ยนแปลงระบบของโลกในระดับวิกฤต ซึ่งกำลังส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีและความอยู่รอดของมนุษย์เรา ความเสี่ยงเหล่านี้เกิดจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเปลี่ยนไปเป็นพื้นที่เกษตรและเมือง และกิจกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะมีการขุดเจาะน้ำมัน การทำเหมืองแร่ การตัดไม้ทำลายป่า และกิจกรรมอื่น ๆ ทั้งบนบกและในทะเล อาจส่งผลกระทบต่อความชุกชุม การกระจาย และการเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด และแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหามลพิษ การใช้ประโยชน์มากเกินไป และการรุกรานจากสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น ล้วนขับเคลื่อนให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพจึงเรียกว่าเป็นยุคเสี่ยงของความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่เรื่องของธรรมชาติเท่านั้น คุณธนิรัตน์ ธนวัฒน์ นักวิจัย สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ได้เรียบเรียงข้อมูลข้อมูลและงานวิจัยโดยหยิบยกประเด็นใกล้ตัวเรามาฝากคือ การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ดีต่อสุขภาพของมนุษย์

มนุษย์เราล้วนพึ่งพาอาหารจากพืชและสัตว์ทั้งบนบกและในทะเล แล้วทราบกันหรือไม่ว่า การบริโภคอาหารในแต่ละวันให้มีความหลากหลายทางชีวภาพหรือหลากหลายสายพันธุ์จะช่วยให้เราได้รับสารอาหารรอง (Micronutrients) อย่างเพียงพอ ซึ่งมีความสำคัญพอ ๆ กับการบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ ผักผลไม้ที่มีสายพันธุ์ต่างกันแม้เพียงน้อยนิดจะมีสารอาหารรองที่แตกต่างกัน หรือแม้แต่ผักผลไม้ในสายพันธุ์เดียวกัน แต่มีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน ก็จะมีสารอาหารรองแตกต่างกัน ดังนั้นพื้นที่ทางธรรมชาติเป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ว่าป่าไม้ แม่น้ำ คูคลอง บึง พื้นที่สีเขียวในเมือง ได้เอื้อประโยชน์ด้านต่างๆ พื้นที่ทางธรรมชาติยังมีคุณค่าทางจิตใจของคนเมือง ทำให้สภาพแวดล้อมน่าอยู่ ช่วยผ่อนคลายจากความเครียด สร้างเสริมสุขภาพกายที่ดีจากมีพื้นที่เปิดโล่งที่มีอากาศถ่ายเท เป็นพื้นที่ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมนันทนาการรูปแบบต่าง ๆ และช่วยเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีของเด็กรุ่นใหม่ แต่น่าเสียดายว่าพื้นที่ทางธรรมชาติหลายแห่งถูกเปลี่ยนไปเพราะมองว่าเป็น “พื้นที่รกร้าง” ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ หารู้ไม่ว่า พื้นที่เหล่านั้นเป็นพื้นที่รองรับและซับน้ำ ช่วยลดผลกระทบจากน้ำท่วมและภัยแล้งในหลายเมืองทั่วโลก ขณะเดียวกันก็ให้ความชุ่มชื้นและความร่มรื่นช่วยลดอุณหภูมิของเมืองจากปรากฎการณ์เกาะความร้อนเมือง (Urban heat island : UHI) ส่วนพื้นที่ธรรมชาติขนาดใหญ่ ได้ช่วยในด้านน้ำสะอาด อากาศสะอาด ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของศัตรูพืชและเชื้อโรค และควบคุมสภาพภูมิอากาศหลายเมืองทั่วโลกจึงเริ่มคิดและออกแบบเมืองคู่กับการรักษาพื้นที่ทางธรรมชาติ เพราะตระหนักถึงความจำเป็นในการคุ้มครองแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ล้วนช่วยสร้างเสริมสุขภาพที่ดี เพราะเชื่อว่าพื้นที่ทางธรรมชาติ เมืองน่าอยู่ สู่สุขภาพดี


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  27 พฤษภาคม 2567

ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/environment/1127377

เบลเยียมผุดไอเดีย เพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง ด้วยการแจกต้นไม้ให้ประชาชนนำไปปลูกพร้อมเสนอจัดทำสวนหน้าบ้านให้ฟรี แถมเงินสำหรับซื้อถังเก็บน้ำไว้รดน้ำต้นไม้อีกด้วย

เมืองแอนต์เวิร์ป ในเบลเยียม ริเริ่มแคมเปญ “Neighbourhood in Bloom” (Buurt in Bloei) ซึ่งจะแจกต้นไม้ 2,000 ต้น ให้แก่ชาวเมืองที่มีพื้นที่ว่างสำหรับปลูกต้นไม้ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง และเป็นความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญ เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม และมลพิษทางอากาศ

แอนต์เวิร์ปมีเป้าหมายที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพและน่าอยู่มากขึ้นสำหรับชาวเมือง นอกจากจะแจกต้นไม้แล้ว สภาเมืองยังเสนอจะสร้างสวนหน้าอาคารให้แก่ชาวเมืองที่สนใจอยากมีสวนไว้หน้าบ้านของตัวเอง ผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านใจกลางเมืองสามารถขอไม้ดอก พุ่มไม้ ไม้เถา และต้นไม้นานาชนิดจากสภาเมืองได้ฟรี


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  26 พฤษภาคม 2567

ที่มา : Future Perfect  (https://www.thairath.co.th/futureperfect/articles/2787905)

เปิดผลสำรวจปี 2567 ชี้ชัด “ปัญหาสิ่งแวดล้อม-มลภาวะ” ครองแชมป์ความกังวลสูงสุดของคนไทย ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมากถึง 74% วันที่ 23 พ.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลสำรวจจากมาร์เก็ตบัซซ ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยให้เห็นว่า “สิ่งแวดล้อม-มลภาวะ” ยังคงเป็นความกังวลอันดับหนึ่งของประชาชน โดยครองแชมป์ปัญหาที่คนไทยกังวลมากที่สุดในปี 2567 การสำรวจนี้จัดทำต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ปี 2562 โดยสอบถามประชาชนไทยเกี่ยวกับ “5 อันดับแรกของความกังวลต่อสาธารณะ” โดยผลการสำรวจล่าสุดในปี 2567 มีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 1,000 คน ในเดือนเมษายน 2567 พบว่าสิ่งแวดล้อมยังคงติดอันดับสิ่งที่คนไทยกังวลมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 30 ของผู้ตอบแบบสอบถาม รองลงมาคือเรื่องของค่าครองชีพ คิดเป็นร้อยละ 28 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งทั้งสองหัวข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่คนไทยกังวลมากที่สุดจากการสำรวจในปี 2566 เช่นกัน โดยการสำรวจนี้อยู่ในบริบทที่เกี่ยวกับความกังวลหลักๆ ของประชาชนที่มีต่อประเทศ ซึ่งรวมถึงการทุจริตคอร์รัปชันของหน่วยงานรัฐ, งานสาธารณสุข, การจราจร, อาชญากรรม และสภาพเศรษฐกิจโดยรวม จากผลสำรวจปี 2567 ชี้ให้เห็นว่าความกังวลของคนไทยด้านสิ่งแวดล้อมยังทวีความรุนแรงขึ้น สูงถึงร้อยละ 74 และรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 62 ในปี 2565 ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนร้อยละ 37 ยังมีความกังวลอีกว่าสภาพแวดล้อมจะเลวร้ายลงไปอีกในอีก 5 ปีข้างหน้า แม้จะมีความกังวล แต่กลับพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ขณะที่พฤติกรรมที่ร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่พบมากที่สุด คือ ไม่สนับสนุนการซื้อขาย/บริโภคสินค้าของป่า ของลักลอบหรือผิดกฎหมาย (ร้อยละ 37) รองลงมา คือ การลดการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (ร้อยละ 34) และการใช้ถุงและบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ (ร้อยละ 33) ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งยังมีช่องว่างให้รณรงค์และส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างยั่งยืนต่อไป

มร.แกรนท์ บาร์โทลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมาร์เก็ตบัซซ กล่าวว่า ในบรรดาความกังวลของประชาชนนั้น ปัญหาสิ่งแวดล้อม และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ยังคงเป็นความกังวลหลักของประเทศไทย แม้ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมจะครองอันดับหนึ่ง แต่การเลือกใช้สินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวันกลับเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เพื่อให้ประชาชนมีวิถีชีวิตที่ยั่งยืนมากขึ้น  ขณะที่ผลการสำรวจ ยังเผยว่า ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับภาคธุรกิจ โดยจะเห็นว่ามีบริษัทหรือองค์กรที่ให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนมากขึ้น โดยในปีนี้มีถึง 4 บริษัทที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมในระดับเกินกว่า 40% ได้แก่ ทรู, ปตท., ซัมซุง และเอไอเอส  มร.แกรนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า คนไทยมีความคิดเห็นที่หลากหลายเกี่ยวกับผู้รับผิดชอบหลักในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ประชาชนคาดหวังให้รัฐบาลมีบทบาทสำคัญ แต่ในขณะเดียวกัน ประชาชนเองก็มีความรับผิดชอบร่วมด้วยเช่นกัน โดยคาดหวังให้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ชัดเจนคือ คนไทยต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงและพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนั้น ผลการสำรวจยังระบุว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คนไทยกังวลมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ภาวะโลกร้อน (ร้อยละ 30) มลภาวะทางอากาศ (ร้อยละ 27) และการเปลี่ยนแปลงของอากาศ/อุณหภูมิ (ร้อยละ 22) สำหรับสาเหตุของปัญหามลภาวะทางอากาศ คนไทยมีความเห็นที่หลากหลาย โดยสาเหตุ 5 อันดับแรก ได้แก่ ควันจากท่อไอเสียในการใช้รถยนต์ (ร้อยละ 30) การเผาขยะหรือผลิตผลทางการเกษตร (ร้อยละ 26) การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากโฟมหรือพลาสติก (ร้อยละ 23) สารเคมีที่ใช้ในการก่อสร้าง รวมถึงฝุ่นควันต่างๆ (ร้อยละ 22) และการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากถ่านหิน น้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ (ร้อยละ 21)


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  25 พฤษภาคม 2567

ที่มา https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2787733

“บ้านเรากำลังเผชิญกับวิกฤติขยะอาหาร ที่ทั้งหมดมาจากสินค้าเกษตรและสินค้าแปรรูป ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางอาหารของประชาชนกลุ่มเปราะบาง การลดการสูญเสียอาหารตั้งแต่ต้นทางเลยเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการลดวิกฤติปัญหาขยะอาหาร จากข้อมูลที่ได้มีการศึกษาพบว่า ไทยมีอาหารส่วนเกินมากถึงเกือบปีละ 4 ล้านตัน ในขณะที่มีการรายงานตัวเลขของประชากรของประเทศที่มีรายได้น้อย และมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาการเข้าถึงอาหารอยู่ถึง 3.8 ล้านคน เราจึงร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ดำเนินการศึกษาและวิจัยเชิงนโยบาย เพื่อสร้างต้นแบบการดำเนินงาน เพื่อบริหารจัดการอาหารส่วนเกินของไทย โดยเปิดตัวต้นแบบธนาคารอาหารของประเทศเป็นครั้งแรก”

การเปิดตัวต้นแบบธนาคารอาหารของประเทศไทย หรือ (Thailand’s Food Bank) เป็นไปเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารส่วนเกิน การกอบกู้อาหาร และการส่งต่ออาหารส่วนเกินอันจะช่วยส่งเสริมให้ลดการเกิดขยะอาหาร และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศไปด้วยกัน และหวังเป็นต้นแบบของการสร้างแบบจำลองการส่งต่ออาหารส่วนเกินให้สังคมไทย โดยนำร่องที่ชุมชนย่านลาดพร้าว ณ โรงเรียนคลองทรงกระเทียม เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  24 พฤษภาคม 2567

ที่มา: https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ/2787702

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินหน้าสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวรับกับเทรนด์ของโลกที่มุ่งไปสู่ความยั่งยืนว่า ในช่วงที่ผ่านมาทั่วโลกหันมาใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะผู้บริโภคมองว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใกล้ตัวและตนเองได้รับผลกระทบในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น จึงต้องการมีส่วนร่วมในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยการเลือกซื้อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

สำหรับสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นายภูสิตขยายความว่าเป็นสินค้าจากผู้ผลิตที่แสดงถึงมาตรฐานจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต สินค้า Eco Products ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน ไม่สิ้นเปลืองพลังงาน ไม่ก่อขยะหรือ มลพิษ นำกลับมาใช้ใหม่ได้ สินค้า Fast-moving consumer goods ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น หลอดดูดน้ำ ก้านสำลีย่อยสลายได้ อาหารและเครื่องดื่มจากโปรตีนทางเลือก สินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลได้ เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ

ในการส่งเสริม และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้มีการผลิตที่ยั่งยืนนั้น นายภูสิต กล่าวว่า ยังมีปัญหา 3 ด้านหลัก คือ ด้านแรก ขาดความรู้ ความเข้าใจการขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ขาดนวัตกรรมและเทคโนโลยี  ด้านที่สอง การพัฒนาสินค้าสร้างมูลค่าเพิ่มตามแนวทาง BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว) โดยผู้ประกอบการยังขาดระบบบริหารจัดการ และด้านสุดท้าย คือช่องทางตลาด โดยสินค้าไทยยังขาดการสร้างเรื่องราวของสินค้าว่าเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ BCG อย่างไร ช่วยสร้างความยั่งยืนได้อย่างไร ขาดการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ และความร่วมมือระหว่างธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ทำให้ความเชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทานไม่ราบรื่น และขาดความร่วมมือกับสถาบันวิจัยและบริษัทเทคโนโลยี เพื่อร่วมมือและร่วมทุน ผลักดันงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์

นายภูสิตกล่าวว่า กรมได้ช่วยให้ผู้ประกอบการปรับตัวไปสู่การผลิตที่ยั่งยืน โดยเร่งพัฒนาองค์ความรู้ เช่น มีหลักสูตรฝึกอบรมที่สอดแทรกเนื้อหาการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่า 100 หลักสูตร มีโครงการสำคัญเสริมศักยภาพ เช่น โครงการเสริมสร้างศักยภาพและส่งเสริมผู้ประกอบการไทยสู่ความยั่งยืน โครงการส่งเสริมนักออกแบบไทยสู่ตลาดโลก ที่เน้นการออกแบบหมุนเวียน มุ่งสู่ความยั่งยืน (SDGs)


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.