• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  11 กุมภาพันธ์ 2568

ที่มา : แนวหน้า (https://www.naewna.com/relation/859915)

เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม! เวทีสัมมนา “พลิกโฉมประเทศไทย…ด้วยนวัตกรรมการจัดการ” ภาครัฐและเอกชน บูรณาการร่วมบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ – ภัยคุกคาม – พัฒนาผลผลิตทางการเกษตร ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ยั่งยืน

วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ (College of Innovation Management) มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จัดสัมมนา “พลิกโฉมประเทศไทย…ด้วยนวัตกรรมการจัดการ” โดย ผศ.ดร.ธนพล ก่อฐานะ ประธานหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ และคณะนักศึกษาปริญญาเอก หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมการจัดการ รุ่นที่ 29 รุ่นที่ 30 และรุ่นที่ 31 ซึ่งได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.บัณฑิต ผังนิรันดร์ รองอธิการบดี ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและจัดหารายได้ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เป็นประธานเปิดงานสัมมนา และมีนักศึกษา บุคคลทั่วไป ร่วมรับฟัง ณ โรงละคร ชั้น 2 คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า เราได้นำนวัตกรรม และเทคโนโลยี มาใช้ในการบริหารจัดการพื้นที่สีเขียวทั่วประเทศ เช่น ดาวเทียม และโดรน ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้ตามภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการนำมาปรับใช้เพื่อจัดการภัยคุกคาม ช่วยในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ได้แก่ การพยากรณ์ฝุ่น PM 2.5, การเฝ้าระวังการบุกรุกทำลายป่า, การติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน และการแก้ปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เป็นต้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลกำลังผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนเครติด คาดว่าจะเข้าสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภาผู้แทนราษฎร ในอีกไม่กี่เดือน ซึ่งจะช่วยให้มีการซื้อขายคาร์บอนเครติตภายในและต่างประเทศได้ และสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมีการแข่งขันและเพิ่มศักยภาพการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก

“เราต้องวางระบบบริหารจัดการทุกมิติเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน และต้องวางกฎกติกาส่งเสริมคนที่ดี และควบคุมคนที่ไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น ภาคการท่องเที่ยวในพื้นที่เกาะตาชัย ที่ถูกปิดเพื่อฟื้นฟู และอ่าวมาหยา ที่จัดการควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้ในพื้นที่ของอ่าว เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของประเทศ รวมถึงการจัดการคนลักลอบนำขยะ จากต่างประเทศเข้ามาในประเทศ พร้อมทั้งต้องมีการพัฒนาระบบ AI เพื่อใช้สำหรับการพยากรณ์ภัยพิบัติต่างๆ เช่น ไฟป่า, ฝุ่น PM 2.5 , น้ำท่วม, ดินโคลนถล่ม และแผ่นดินไหว อีกด้วย ” นายอรรถพล กล่าวเพิ่ม


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  10 กุมภาพันธ์ 2568

ที่มา https://www.posttoday.com/smart-city/719354

ขยะจากแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Panel Waste) กำลังกลายเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ โดยเฉพาะเมื่อแผงโซลาร์เซลล์ถึงจุดสิ้นสุดของอายุการใช้งาน (ประมาณ 20-30 ปี) ปัญหาหลักที่เกิดจากขยะเหล่านี้ก็คือ เมื่อแผงโซลาร์เซลล์ถูกใช้งานเพิ่มขึ้นทั่วโลก ปริมาณขยะที่เกิดจากแผงโซลาร์เซลล์เก่าก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลปัจจุบันเริ่มมีแผงโซลาร์เซลล์ปลดระวางจากโซลาร์ฟาร์ม และภายในปี 2050 คาดว่าทั่วโลกจะมีจำนวนแผงโซลาร์เซลล์ทยอยหมดอายุเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเป็น 78 ล้านตัน เฉพาะในประเทศไทยอาจมีมากถึง 4 แสนตัน ยิ่งกว่านั้นแผงโซลาเซลล์ยังประกอบด้วยวัสดุที่ยากต่อการรีไซเคิล และประกอบด้วยวัสดุหลากหลายชนิด เช่น กระจก ซิลิกอน โลหะหนัก เช่น แคดเมียมและตะกั่ว วัสดุพลาสติก และการแยกส่วนประกอบเหล่านี้ออกจากกันเพื่อนำไปรีไซเคลล์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง

แนวโน้มการรีไซเคิลในอนาคตของไทยได้นำเทคโนโลยีขั้นสูงในการรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น การใช้ใบมีดที่ร้อนจัดถึง 300 องศาเซลเซียสในการตัดแยกกระจกออกจากโซลาร์เซลล์อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลเงินบริสุทธิ์จากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นแห่งแรกของประเทศไทย เทคโนโลยีนี้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบันหลายประเทศ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ได้พัฒนาโรงงานรีไซเคิลแผงโซลาร์ที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อลดของเสียและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  9 กุมภาพันธ์ 2568

ที่มา: https://www.thailandplus.tv/archives/899179

ดร.โศรดา วัลภา รองผู้ว่าการบริการอุตสาหกรรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย ดร.ปริยะดา วิสุทธิแพทย์ ผอ.สำนักสื่อสารองค์กร ดร.อัญชนา พัฒนสุพงษ์ ผอ.ห้องปฏิบัติการทดสอบการสลายตัวทางชีวภาพของวัสดุ ศูนย์พัฒนาและวิเคราะห์สมบัติของวัสดุ และคณะนักวิจัย นางสาวปัทมา ลิ่วเลิศมงคล ผอ.กองประชาสัมพันธ์ เข้าร่วมเป็นเกียรติในงาน “ชาวนายุคใหม่ ร่วมใจหยุดเผา เปลี่ยนฟางเป็นทอง สู่เมืองปทุมธานีไร้ควัน” ซึ่งเป็นเวทีรณรงค์สร้างการรับรู้และการเรียนรู้การเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Day) ในรูปแบบการจัดกิจกรรมส่งเสริมและสร้างการรับรู้การเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ศูนย์จัดการดินปุยชุมชนเครือข่ายตำบลบึงคอไห อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี

โอกาสนี้ วว. ร่วมจัดกิจกรรมฐานการเรียนรู้ “หัวเชื้อจุลินทรีย์ BioD I วว. ปทุมธานี เปลี่ยนฟางเป็นทอง” ซึ่งมีประสิทธิภาพย่อยสลายตอซังข้าวได้ใน 1 สัปดาห์ ไถกลบง่ายและเพิ่มธาตุอาหารในดิน โดย วว. ร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดปทุมธานีและบริษัท อาปิโก ฟอร์จจิ้ง จำกัด (มหาชน) จัดสร้างชุดบ่มเลี้ยงหัวเชื้อกลุ่มจุลินทรีย์ฯ จำนวน 15 ชุด ติดตั้งในพื้นที่ของวิสาหกิจชุมชนของจังหวัดปทุมธานี 7 อำเภอ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  8 กุมภาพันธ์ 2568

ที่มา : สำนักข่าวไทย (https://tna.mcot.net/environment-1485335)

กรุงเทพฯ 6 ก.พ. – สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยสำรวจปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คนไทยให้ความสำคัญในปีที่ผ่านมา (2567) พบว่า 3 อันดับแรกที่คนไทยห่วงด้านสิ่งแวดล้อม คือ ปัญหาโลกร้อน รองมาคือปัญหาขยะมูลฝอยที่จัดการไม่ถูกต้อง ปัญหา PM2.5..ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และประเด็นการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ มาเป็นอันดับ 4 โดยส่วนใหญ่มองว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมในทุกประเด็นเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงและสัมพันธ์กัน ซึ่งหากไม่ได้รับความร่วมมือในการแก้ไข จะส่งผลต่อการจัดการทรัพยากรทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

ดร.วิจารย์ สิมายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI รวบรวมผลสำรวจที่ทาง TEI จัดทำขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในประเทศไทยพบว่า อันดับ 1 (20.3 %) คนไทยให้ความสำคัญกับปัญหาโลกร้อน ที่ในปีที่2567 ถือเป็นปีแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงเกินกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม (ปี ศ.ศ.1900) กว่า 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งหลายคนให้เหตุว่า อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตามมา เช่น การแปรปรวนสภาพอากาศที่ทำให้เกิดอุทกภัยธรรมชาติในหลายพื้นที่ ภัยแล้งในบางพื้นที่ การสูญเสียระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ผลกระทบต่อแหล่งอาหารการเกษตรและสุขภาพของมนุษย์ และอีกหนึ่งปัญหาที่คนไทยให้ความสำคัญตามมาติดๆ ปัญหาขยะมูลฝอยจัดการไม่ถูกต้องที่มีถึง (19.1%) โดยส่วนใหญ่ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ขยะมูลฝอยที่เพิ่มขึ้นถึง 28- 29 ล้านตันต่อปี หากการบริหารจัดการขยะไม่ดี ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขอนามัย สุขภาพเศรษฐกิจและสังคม อีกด้วย รวมทั้งมองว่าปัญหาขยะมูลฝอยเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนานยังไม่สามารถจัดการได้อย่างถูกต้อง เพราะประชาชนทั่วไปยังไม่รู้จักการคัดแยกขยะประเภทต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากยังขาดความรู้ ความเข้าใจ และความสำคัญในการคัดแยกขยะที่ต้นทาง ดังนั้นควรมีการสร้างความตระหนักรู้ ปลูกฝัง การคัดแยกขยะตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มต้นที่สถานศึกษา และชุมชน ในขณะเดียวกัน ภาครัฐโดยเฉพาะท้องถิ่นต้องมีระบบการจัดการที่ดี และควรมีกฎหมายหรือข้อบังคับที่ใช้ชัดเจน ขณะเดียวกันควรสร้างความตระหนักรู้ถึงการคัดแยกขยะว่าจะมีประโยชน์อย่างไรกับตนเอง รวมทั้งการส่งเสริมให้เอกชนลงทุนในการจัดการขยะมูลฝอยครบวงจร

ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญเป็นอันดับที่ 3 ในผลสำรวจคือ ปัญหาฝุ่นละอองขนาดจิ๋ว (PM2.5) (13.1%) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ส่วนมากจากมลพิษทางการจราจร ที่มีผู้ใช้ยานพาหะเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการปล่อยควันรถบนท้องถนน และการ เผาในพื้นที่เกษตรในบริเวณชานเมืองและจังหวัดใกล้เคียง ประกอบกับสภาพอุตุนิยมวิทยาที่มีลักษณะอากาศนิ่ง และไม่เอื้ออำนวยต่อการกระจายตัวของอากาศ ซึ่งจากผลสำรวจให้เหตุผลส่วนใหญ่ว่าปัญหา PM2.5 ใน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  7 กุมภาพันธ์ 2568

ที่มา : https://www.naewna.com/local/859079

นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมภาคีมือวิเศษกรุงเทพ ครั้งที่ 1/2568 ร่วมกับภาคีมือวิเศษกรุงเทพ และเครือข่ายสังคมลดขยะ Less Plastic Thailand เพื่อต่อยอดความสำเร็จของโครงการมือวิเศษกรุงเทพ ภายใต้นโยบายส่งขยะคืนสู่ระบบ และขยายความร่วมมือ ไปยังโครงการ “บ้านนี้ไม่เทรวม : แยกขยะลดค่าธรรมเนียม” มีนายภาณุวัฒน์ อ่อนเทศ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดการมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักสิ่งแวดล้อม ผู้แทนภาคีเครือข่าย และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุม 2 สำนักสิ่งแวดล้อม ศาลาว่าการกทม. (ดินแดง) และผ่านระบบออนไลน์

สำหรับโครงการมือวิเศษกรุงเทพ เริ่มตั้งแต่ปี 2565 กรุงเทพมหานคร โดยสำนักสิ่งแวดล้อม และภาคีมือวิเศษกรุงเทพ และ โครงการวน สามารถนำขยะคืนสู่ระบบเพื่อลดการฝังกลบได้ทั้งสิ้น 93,614 กิโลกรัม (ข้อมูล ม.ค.68) โดยได้นำขวดเพ็ท เปลี่ยนเป็นชุดพนักงานกวาดถนนรุ่นทดลอง 1,200 ชุด ตามโครงการมือวิเศษกรุงเทพ “แยกเพื่อให้…พี่ไม้กวาด” ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานกวาดถนน ทั้ง 50 เขต และผลิตเสื้อกั๊กสะท้อนแสงรุ่นทดลอง จำนวน 351 ตัว โดยมีจุดรับคืนขยะพลาสติก 126 จุด ในชื่อจุดรับ “มือวิเศษ” เชื่อมต่อกิจกรรมส่งขยะคืนสู่ระบบ กับภาคประชาสังคมทั้ง 50 เขต ทั้งนี้เพื่อเป็นการต่อยอดความสำเร็จของโครงการ “มือวิเศษกรุงเทพ” ภายใต้ นโยบายส่งคืนขยะสู่ระบบของกรุงเทพมหานคร สอดคล้องกับนโยบายด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภาคีฯ ได้บูรณาการความร่วมมือสนับสนุน โครงการ บ้านนี้ไม่เทรวม : แยกขยะลดค่าธรรมเนียม โดยมีแผนการจัดโครงการมือวิเศษสัญจร x บ้านนี้ไม่เทรวม ไดร์ฟทรูส่งขยะ เพื่อสื่อสารและกระตุ้นการลงทะเบียนผ่าน BKK Waste Pay ส่งเสริมให้เกิดการแยกขยะต้นทาง ควบคู่กับการคืนขยะใช้ประโยชน์แทนการฝังกลบ ร่วมกันพัฒนา ระบบการจัดการข้อมูลขยะที่จุดรับคืนทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร ภายใต้ภารกิจมือวิเศษเชื่อมต่อข้อมูล (AP) เพื่อโครงการบ้านนี้ไม่เทรวม จาก 6 ภาคีนำร่อง แทรชลัคกี้, Recycle Day Thailand, Wake Up Waste, Waste Buy Delivery, KHAYA, ECOLIFE


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  6 กุมภาพันธ์ 2568

ที่มา: https://www.thaipbs.or.th/news/content/348942

น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 3 ก.พ. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะกรรมการและเลขานุการ พร้อมผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2568 – 2570) และระยะ 5 ปีต่อไป

ทั้งนี้ มีแนวคิดการพัฒนาระบบบริหารจัดการมลพิษทางอากาศแบบบูรณาการ โดยการป้องกัน ลด และควบคุมมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิด เพื่อให้บุคคล ชุมชน และประชาชนมีสิทธิในอากาศสะอาด มุ่งเน้นการป้องกันและควบคุมมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิดภาคอุตสาหกรรม ภาคคมนาคม ภาคป่าไม้ ภาคเกษตรกรรม ภาคเมือง พร้อมสร้างเครื่องมือ กลไก เทคโนโลยี กฎหมาย กฎระเบียบ มาตรการจูงใจ มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ และการบังคับใช้กฎหมาย ครอบคลุมพื้นที่เมือง พื้นที่ป่า พื้นที่เกษตรกรรม และมลพิษข้ามแดน สอดคล้องและรองรับ พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด โดยมีเป้าหมายที่มุ่งเน้นให้ค่าเฉลี่ยฝุ่นละออง PM 2.5 ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และพื้นที่เผาไหม้ (Burnt scar) ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ซึ่งจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาและประกาศใช้ต่อไป

จากการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ ช่วงวันที่ 5 – 11 ก.พ. ฝุ่น PM 2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยวันที่ 6 – 9 ก.พ. ค่าฝุ่นเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลต่อสุขภาพ และจะลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง สีเหลือง ในวันที่ 10 – 11 ก.พ. 2568


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  5 กุมภาพันธ์ 2568

ที่มา : Spring news (https://www.springnews.co.th/keep-the-world/sustainable/855817)

ตอนนี้กำลังกลายเป็นเทรนด์การออกแบบโรงเรียนในประเทศจีน ที่ออกแบบสภาพแวดล้อมรอบ ๆ โรงเรียนให้มี “พื้นที่สีเขียว” กระจายอยู่แทบจะทุกพื้นที่ ไหนจะออกแบบให้ระเบียงสูงแค่ 1.2 เมตร เพื่อให้เด็ก ๆ มองต้นไม้ได้ ตามคอลัมน์ Keep The World ไปเที่ยวจีนกัน

            จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่เจอปัญหาเมืองหนาแน่น มองไปทางไหนก็เห็นแต่ตึกสูง และไม่สามารถมีตึกใดงอกขึ้นได้อีกแล้ว สถาปนิกจึงเกิดไอเดียปรับเปลี่ยนพื้นที่บนดาดฟ้าให้กลายเป็นอีกหนึ่งแหล่งเรียนรู้ของเด็กๆ และต้องเชื่อมโยงกับธรรมชาติ

เชื่อมโยงกับธรรมชาติยังไง เช่น สร้างสวน ปลูกต้นไม้ สร้างบรรยากาศให้ร่มรื่น มีสนามเด็กเล่น มีเนินดิน บางแห่งมีลานให้สำหรับวิ่งเล่น (ทั้งในร่ม-กลางแจ้ง) และแน่นอนว่าเมื่อเกิดเป็นสภาพแวดล้อมธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็จะตามมา เช่น แมลง หรือสัตว์ตัวเล็กๆ ซึ่งเด็กนักเรียนจะได้สำรวจอย่างใกล้ชิดถ้าจะเล่าแค่ไอเดียโดยไม่หยิบยกตัวอย่างมาให้เห็นกันชัดๆ ก็กะไรอยู่ วันนี้ SPRiNG เลยพาไปสำรวจโรงเรียนประถมศึกษา “ซินชา” (Xinsha) ในเซินเจิ้น มีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 11,000 ตารางเมตร ออกแบบโดย 11 ARCHITECHURE

โรงเรียนประถมชินซาสามารถรองรับได้ 36 ห้องเรียน และห้องเรียนสำรอง 5 ห้อง อาคารถูกออกแบบให้เป็นรูปตัว S แต่ละด้านสามารถเปิดออกสู่สนามเด็กเล่นได้ สะท้อนออกมาผ่านม้านั่งที่ตั้งเรียงเอาไว้ตามทางเดิน ให้เด็กๆ ได้นั่งพักผ่อน

บริเวณรอบ ๆ โรงเรียนมีต้นไม้ปลูกเรียงไว้ตลอดแนวถนน แต่ละต้นสูง 10 เมตร ส่วนโถงทางเดินผู้ออกแบบเลือกใช้คอนกรีตที่มีพื้นผิวเป็นไม้ ส่วนผนังทำด้วยกระเบื้องดินเผา บริเวณโถงทางเดิน หรือสนามเด็กเล่นจะมีเก้าอี้ม้านั่งให้เด็กๆ ไว้หย่อนก้นยามเมื่อยล้า

หนึ่งในโจทย์สำคัญ คือ เด็ก ๆ ต้องใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด สถาปนิกจึงออกแบบสนามเด็กเล่นให้ออกมาเป็นธีมต่าง ๆ อาทิ ป่าเขียวขจี, หมู่บ้าน, เนินเขาสามเหลี่ยม, ปราสาท, ถนนบนเนินเขา หรือ ฟาร์มบนดาดฟ้า ฯลฯ เดินเข้าไปในห้องเรียน ระเบียงจะถูกก่อขึ้นที่ความสูง 1.2 เมตร (ตามกฎข้อบังคับความสูงขั้นต่ำคือ 90 ซม.) เมื่อระเบียงไม่ได้สูงมาก เด็ก ๆ ก็จะสามารถมองออกไปเห็นวิวสีเขียว ๆ จากต้นไม้สูงใหญ่รอบๆ  โรงเรียนได้ แถมยังได้ร่มเงา และมีอากาศที่ดีไหลเวียนอยู่ตลอดเวลานั่นเอง


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  4 กุมภาพันธ์ 2568

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/4358761/

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.)ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ห้องประชุม 301ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบนายนราพัฒน์  แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานกรรมการ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรรมการและเลขานุการ และนางชญานันท์ ภักดีจิตต์ เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ และมีผู้ทรงคุณวุฒิรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม

ประธานให้ความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนจากปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ที่จะพบเกินมาตรฐานในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปีเป็นประจำทุกปี ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานต่าง ๆ ได้มีการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ฉบับที่ 1 อย่างต่อเนื่อง และยกระดับการปฏิบัติการตามมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในแต่ละปี โดยในอนาคต กก.วล. ได้เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568 – 2570 และระยะ 5 ปีต่อไป เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิในอากาศสะอาด รวมทั้งที่ประชุมเห็นชอบเรื่องสำคัญ อาทิเช่น การปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐด้านคมนาคม 6 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการทางหลวงหมายเลข 4 สาย อ.กะเปอร์ – อ.สุขสำราญ 2) โครงการทางหลวงหมายเลข 4006 ราชกรูด – หลังสวน จ.ระนอง 3) โครงการทางหลวงหมายเลข 11 สายปางเคาะ จ.แพร่ – ป่าขาม จ.ลำปาง 4) โครงการทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 402 กับทางหลวงหมายเลข 4027 (แยกท่าเรือ) 5) โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานระนองและ 6) โครงการทางพิเศษสายฉลองรัช – นครนายก – สระบุรี ช่วงจตุโชติ – ถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร รอบที่ 3 (MR 10) เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านโครงข่ายคมนาคมของประเทศ อำนวยความสะดวก ลดระยะเวลาการเดินทางให้กับประชาชน


© 2025 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.