• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สถานการณ์อาหารราคาแพงนำมาซึ่งความไม่มั่นคงทางอาหาร (สภาวะที่ประชาชนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่เพียงพอ ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการทั้งในทางกายภาพและเศรษฐกิจที่ตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี)เป็นหนึ่งในปัญหาที่หลายต่อหลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ ไทยเราได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกและปัจจัยการผลิตที่นำเข้าราคาปรับขึ้น ส่งผลให้สินค้าในประเทศหลายอย่าง รวมถึงพวกอาหารราคาปรับขึ้นตาม แต่ด้วยบ้านเราเป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นแหล่งผลิตอาหาร ทำให้เราไม่เผชิญภาวะขาดแคลน มีอาหารเพียงพอ อาจแพงขึ้นบ้างตามกลไกตลาดและอีกแง่หนึ่งจากวิกฤตอาหารโลกที่เกิดขึ้นกลับทำให้ไทยได้ประโยชน์จากการส่งออกสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นด้วย

สภาพปัญหาและสาเหตุของวิกฤตอาหารโลก

เมื่อเดือนที่ผ่านมา องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ได้เผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงวิกฤตราคาอาหารแพงทั่วโลก ระบุว่าดัชนีราคาอาหาร ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงรายเดือนของสินค้า อาหารและโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายมากที่สุดทั่วโลก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธัญพืช ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ น้ำมันพืช และน้ำตาล เดือนมีนาคม 2565 เพิ่มขึ้นเกือบ 13% จากเดือนกุมภาพันธ์ และราคาอาหารพุ่งขึ้นเกือบ 30% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนเมษายน 2565 กับเดือนเมษายน 2564

สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  16 มิถุนายน 2565

ราคาอาหารที่แพงขึ้นนำมาสู่ความไม่มั่นคงด้านอาหาร ประชาชนต้องเจียดรายได้มาจ่ายค่าอาหารมากขึ้น สำหรับประเทศที่ประชาชนมีรายได้มากและค่าครองชีพมีความสอดคล้องกัน อาจส่งผลกระทบบ้างเล็กน้อย แต่ในประเทศรายได้น้อยได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะการซื้ออาหารคิดเป็นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายครัวเรือนทั้งหมด

ราคาอาหารสูงขึ้นแต่ประชาชนยังมีรายได้เท่าเดิมหรือน้อยลง ย่อมส่งผลโดยตรงต่อการเข้าถึงอาหารและนำไปสู่ปัญหาความอดอยากได้ เฉพาะในประเทศเอเชียแปซิฟิก FAO ระบุว่า มีผู้ได้รับผลกระทบจากราคาอาหารแพงและการขาดแคลนอาหารมากถึง 1,800 ล้านคน โดยนักวิเคราะห์ของ FAO ระบุว่า นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของการเกิดวิกฤตที่เรียกว่า The Great (Food) Shortage หรือภาวะขาดแคลนอาหารครั้งใหญ่ของโลกได้

ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มองสาเหตุหลักของวิกฤตอาหารโลกในครั้งนี้มาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ช่วง 2-3 ปีมานี้ ทำให้ภาคการผลิตและส่งออกอาหารชะลอตัวลงอย่างมาก แม้ขณะนี้การแพร่ระบาดซาลงมากแล้ว แต่หลายประเทศยังไม่ฟื้นตัวมากนัก การส่งออกอาหารจึงยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดโลก กอปรกับสาเหตุสำคัญอีกอย่างคือ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่นอกจากทำให้ราคาน้ำมันและก๊าชในตลาดโลกเพิ่มสูงต่อเนื่องจากการคว่ำบาตรรัสเซียแล้ว ทั้ง 2 ประเทศยังเป็นแหล่งทรัพยากรอาหารและปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ โดยเฉพาะข้าวสาลีและปุ๋ย ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าผลิตผลกว่า 19 - 34 ล้านตันจะหายไปในปีนี้ และจะหายถึง 43 ล้านตันในปี 2566 จากการที่การเพาะปลูก เก็บเกี่ยว การผลิตและส่งออก เป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไปขายต่างแดนผ่านท่าเรือในทะเลดำต้องหยุดชะงักลง จากการถูกเรือรบของรัสเซียปิดล้อม ดังนั้นหลายประเทศ เช่น มองโกเลีย อาร์เมเนีย อียิปต์ เยเมน ลิเบีย ปากีสถาน ตุรเคีย ซึ่งต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารและปัจจัยการผลิตทางการเกษตรจากรัสเซียและยูเครน ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

สงครามรัสเซีย-ยูเครน จึงถือเป็นตัวเร่งให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกหลายด้าน รวมถึงแนวโน้มวิกฤตอาหารโลกที่ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร ผลักดันให้หลายประเทศต้องออกนโยบายห้ามส่งออกอาหาร เพื่อรักษาสมดุลอาหารเลี้ยงคนในประเทศ โดยข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF พบว่า ขณะนี้มีประมาณ 30 ประเทศทั่วโลกได้ใช้มาตรการจำกัดการส่งออกอาหาร พลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง อินโดนีเซีย ผู้ส่งออกน้ำมันเพื่อการบริโภครายใหญ่สุดของโลกประกาศห้ามส่งออกน้ำมันปาล์มสำหรับทำอาหาร, คาซัคสถาน จำกัดการส่งออกข้าวสาลีและแป้งสาลีเป็นการชั่วคราวจนถึงวันที่ 15 มิถุนายนนี้ ขณะที่อาร์เจนตินา ผู้ส่งออกเนื้อวัวรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก จำกัดการส่งออกเนื้อวัว จนถึงปี 2566 ส่วนอินเดียประกาศห้ามส่งออกข้าวสาลี

ไทยอาหารเพียงพอ ส่งออกสินค้าเกษตรโตขึ้นกว่า 23%

ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หรือ สศก. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่า ประเทศไทยถือเป็นผู้ผลิตอาหารอันดับต้นๆ ของโลก อาหารจึงมีเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศและหากมองในมุมวิกฤตอาหารโลกที่เกิดขึ้น กลับเป็นโอกาสดีในการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารให้เติบโตขึ้น ในฐานะแหล่งผลิตอาหารสำคัญและมีเป้าหมายสู่การเป็นครัวของโลก เห็นได้จากการส่งออกสินค้าเกษตร 4 เดือนแรก ปี 2565 เติบโตอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยสินค้าเกษตรไทยส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 418,883 ล้านบาท เป็น 516,127 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97,244 ล้านบาท หรือ 23.22% กลุ่มสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรก ได้แก่ ทุเรียน ข้าว ยางธรรมชาติ ไก่ปรุงแต่ง อาหารสุนัขหรือแมวปรุงแต่ง ปลาทูน่าปรุงแต่ง สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง น้ำยางธรรมชาติ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารปรุงแต่งอื่นๆ เช่น เต้าหู้

อย่างไรก็ตาม ไทยได้มีการวางแผนเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงอาหารทั้งระบบผ่านกลไกในรูปคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ มีหน้าที่เกี่ยวกับด้านนโยบายอาหารของประเทศไว้อยู่แล้ว

รัฐบาลหนุนปลูกข้าวพันธุ์ใหม่ เพิ่มศักยภาพส่งออกสู่ตลาดโลก

สินค้าทางการเกษตรจำพวกอาหาร ข้าวยังเป็นสินค้าสำคัญลำดับต้นๆ ของไทย ทางรัฐบาลได้ส่งเสริมให้ชาวนาปลูกข้าวพันธุ์ใหม่ๆ ที่สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้นและช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้ เป็นการเพิ่มศักยภาพในการส่งออกข้าวไทยสู่ตลาดโลก โดยข้าวพันธุ์ใหม่ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คัดเลือกมาจากการประกวดทั่วประเทศ ได้มาแล้ว 6 พันธุ์(จากเป้าหมาย 12 พันธุ์)? ใน 3 ประเภท คือข้าวหอมไทย ข้าวหอมพื้นนุ่มและข้าวขาวพื้นแข็ง จากนั้นได้นำข้าวพันธุ์ใหม่ทั้ง 6 พันธุ์กระจายให้ชาวนาทำการปลูก คาดว่าภายใน 1 ปี ข้าวพันธุ์ใหม่ดังกล่าวจะออกสู่ตลาดช่วยเพิ่มศักยภาพ-คุณภาพของข้าวไทยในตลาดโลกต่อไป ตามที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้นโยบายกับชาวนาดีเด่นแห่งชาติที่เข้าพบเนื่องในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2565 โดยขอให้นำความรู้และประสบการณ์ไปต่อยอดพัฒนาสร้างมูลค่าผลผลิตข้าวให้มีราคาเพิ่มสูงขึ้น เป็นการเพิ่มพูนรายได้ให้กับครอบครัวมากยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถช่วยขับเคลื่อนภาคการเกษตรให้มีความมั่นคง ส่วนเรื่องพันธุ์ข้าว ขอให้มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

ทั้งหมดที่ว่ามา แม้ไทยไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากวิกฤตอาหารโลก ในอีกแง่กลับส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรโดยเฉพาะพวกอาหารเพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่ก็ถือว่าการส่งออกที่มากขึ้นของไทยมีส่วนช่วยผ่อนคลายวิกฤตอาหารโลกลงได้บ้าง และยังเป็นส่วนช่วยตอกย้ำเป้าหมายสู่ความเป็นครัวของโลกได้เป็นอย่างดี


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  15 มิถุนายน 2565

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ขอให้ประชาชนภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ระวังฝนตกหนักบางแห่ง พร้อมเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาถึงวันที่ 20 มิถุนายนนี้

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้รายงานสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศวันนี้ (15 มิ.ย.65) ว่า ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้นกับมีลมกระโชกแรง และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีฝนตกหนักและหนักมากบริเวณ จ.ปัตตานี 150 มิลลิเมตร , ชลบุรี 83 มิลลิเมตร และกรุงเทพมหานคร 72 มิลลิเมตร ขณะที่ภาพรวมปริมาณน้ำแหล่งน้ำทุกขนาด 45,291 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 55 โดย กอนช. ยังเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาถึงวันที่ 20 มิถุนายน เวลาประมาณ 18.00 - 00.30 น. ที่เป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูง ประกอบกับลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทยมีกำลังแรง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างเพิ่มสูงกว่าที่คาดหมาย คาดการณ์ว่า ระดับน้ำมีความสูงประมาณ 1.70 – 2 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ส่งผลกระทบต่อบริเวณพื้นที่ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมรับมือ


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  14  มิถุนายน 2565

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) คาดการณ์ประเทศไทยฝนตกน้อยลง ขณะที่กรมเจ้าท่าเร่งขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวารองรับน้ำฝน

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้รายงานสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศวันนี้ (13 มิ.ย.65) ว่า ประเทศไทยมีฝนน้อยแต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีฝนตกหนักบริเวณ จ.ยะลา 99 มิลลิเมตร , จันทบุรี 76 มิลลิเมตร และบึงกาฬ 45มิลลิเมตร พร้อมระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก - ดินถล่มในช่วง 1-2 วันนี้ บริเวณ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงราย และน่าน ขณะที่ภาพรวมปริมาณน้ำแหล่งน้ำทุกขนาด 45,597 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 56 โดยย กอนช. ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าแผน 13 มาตรการรับมือฤดูฝนปีนี้ต่อเนื่อง อย่างกรมเจ้าท่าขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวา ด้วยการขุดลอกน้ำแม่กลอง ต.ท่าชุมพล อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ระยะทาง 750 เมตร คืบหน้าแล้วกว่าร้อยละ 93.71 // ขุดลอกน้ำปูลากาปะและร่องน้ำปูลาวาจิ อ.เมือง จ.นราธิวาส ระยะทาง 1,800 เมตร คืบหน้าแล้วกว่าร้อยละ 95.83 // ขุดลอกน้ำหาดปอ อ.ควนเนียง จ.สงขลา ระยะทาง 750 เมตร คืบหน้าแล้วกว่าร้อยละ 64.80 // ขุดลอกคลองตุหยง อ.เทพา จ.สงขลา ระยะทาง 300 เมตร คืบหน้าแล้วกว่าร้อยละ 84.04 // ขุดลอกแม่น้ำปิง ต.แม่ก๊า และ ต.ท่าวังพร้าว อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ระยะทาง 1,900 เมตร คืบหน้าแล้วกว่าร้อยละ 47.36 // ขุดลอกคลองบางม่วง (ร่องใน) ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ระยะทาง 1,300 เมตร คืบหน้าแล้วกว่าร้อยละ 76.29 // กำจัดผักตบชวาและวัชพืช บริเวณแม่น้ำน้อย ต.ช้างน้อย อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา กำจัดผักตบชวาไปแล้ว 55,764 ตัน // กำจัดผักตบชวาและวัชพืชแม่น้ำลพบุรี แม่น้ำป่าสัก และคลองสาขา จ.พระนครศรีอยุธยา กำจัดผักตบชวาไปแล้ว 98,684 ตัน


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  13 มิถุนายน 2565

ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงาน "โครงการกำจัดวัชพืชทะเลบัวแดง หนองหาน-กุมภวาปี" ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำ นำเรือดูดโคลนสะเทินน้ำสะเทินบก ออกปฏิบัติงาน

วันนี้ (12 มิ.ย. 65) ที่บ้านเชียงแหว หมู่ที่ 2 ตำบลเชียงแหว อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมนายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ นายธีระชุณ บุญสิทธิ รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ และคณะได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงาน "โครงการกำจัดวัชพืชหนองหานตรวจเยี่ยม และลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน โครงการกำจัดวัชพืชหนองหาน โดยใช้เรือดูดโคลนสะเทินน้ำสะเทินบก" โดยมีนายวันชัย จันทร์พร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ผู้นำท้องถิ่นท้องที่ ประชาชน ตำบลเชียงแหว อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ให้การต้อนรับ

นายวิเชียร ศิริสุวรรณคูหา ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 3 กล่าวว่า หนองหานกุมภวาปี มีพื้นประมาณ 45 ตร.กม. หรือประมาณ 28,125 ไร่ อยู่ในเขตอำเภอกุมภวาปี และบางส่วนอยู่ในเขตอำเภอประจักษ์ศิลปาคม เป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภค-บริโภคของชาวบ้าน ที่อาศัยโดยรอบ และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำที่สำคัญของจังหวัดอุดรธานี พื้นที่ชุ่มน้ำหนองหานกุมภวาปี ถูกจัดให้อยู่ในประเภทพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ มีลักษณะเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยพงหญ้าขึ้นแฉะ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันแหล่งน้ำหนองหานมีปัญหาดินตะกอนทับถม แหล่งน้ำตื้นเขิน และมีวัชพืชหนาแน่น เพื่อแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำตื้นเขิน และเป็นการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศน์ มีเงินทุนหมุนเวียนจากการที่หนองหานกุมภวาปีเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงนิเวศน์ ราษฎรในพื้นที่จึงได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณมายังกรมทรัพยากรน้ำ เพื่อดำเนินการโครงการกำจัดวัชพืชหนองหาน บ้านเชียงแหว หมู่ที่ 2 ตำบลเชียงแหว อำเภอภุมวาปี จังหวัดอุดรธานี ในปีงบประมาณ 2565 นี้ กรมทรัพยากร โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 3 จึงได้ดำเนินโครงการกำจัดวัชพืชหนองหาน โดยใช้เรือดูดโคลนสะเทินน้ำสะเทินบก เพื่อช่วยรักษาระบบนิเวศทางน้ำ รักษาแหล่งผลิตน้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภค และน้ำเพื่อการเกษตรของประชาชนในพื้นที่รอบหนองหานกุมภวาปี

ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า หน่วยงานภาครัฐได้จัดเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์น้ำแล้ง-น้ำท่วม ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอย่างรัดกุมและรอบด้าน รวมทั้งได้มีการเตรียมแผนการบริหารจัดการน้ำ สำหรับแก้ไขปัญหาในระยะยาวอย่างยั่งยืน ในปัจจุบัน มีหลายภาคส่วนและหลายหน่วยงานมีการดำเนินการในภารกิจด้านการพัฒนา อนุรักษ์ ปรับปรุง ฟื้นฟู แหล่งน้ำสาธารณะ และกระจายน้ำในพื้นที่เกษตรน้ำฝน ซึ่งที่ผ่านมาหนองหานกุมภวาปี ก็ประสบปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง ซึ่งมีสาเหตุสำคัญคือวัชพืชเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากและขยายเป็นวงกว้าง และกำลังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกปี

กรมทรัพยากรน้ำ เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีภารกิจด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ นอกเขตชลประทาน และมีหน่วยงานภูมิภาคตั้งในจังหวัดอุดรธานี คือสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 3 มีภารกิจหน้าที่การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในการพัฒนาอนุรักษ์ ฟื้นฟู และบำรุงรักษาทรัพยากรน้ำสาธารณะ ปัจจุบันได้นำเครื่องจักรกลงานดินใช้งานสำหรับการบริหารจัดการน้ำในภาวะฉุกเฉิน ในภาวะน้ำแล้งและน้ำท่วมมาดำเนินงานในพื้นที่ และเตรียมความพร้อมขับเคลื่อนตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2565 นี้


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  12 มิถุนายน 2565

ตามที่ กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 5 พ.ศ.2565 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป มีผลให้ “กัญชา” และ “กัญชง” พ้นจากการเป็นยาเสพติด ไม่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ยกเว้น “สารสกัด” จาก กัญชา-กัญชง ที่มีสาร THC (เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท) เกิน 0.2% ที่ยังเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ที่มาประกาศปลดล็อกกัญชา-กัญชง พ้นยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข มีแนวคิดปลดล็อกให้พืชกัญชาและพืชกัญชง พ้นจากความเป็นยาเสพติด เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ในการรักษาตั้งแต่ระดับครัวเรือน พร้อมกับสนับสนุนให้กัญชา-กัญชง เป็นพืชเศรษฐกิจ แต่ยังคงมีการควบคุมการผลิตสารสกัดที่มีคุณภาพมาตรฐานและมีมาตรการป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด ต่อมาคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้จัดทำประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ.2565 ซึ่งจะปลดล็อกทุกส่วนกัญชา-กัญชง ออกจากความเป็นยาเสพติดอย่างสิ้นเชิง ยกเว้นสารสกัดของกัญชาที่มีค่า THC เกิน 0.2% จะยังถือว่าเป็นสารเสพติด จะมีการควบคุม ทำได้เฉพาะที่ได้รับอนุญาต

หลังประกาศปลดล็อก สามารถใช้ประโยชน์จากกัญชาได้อย่างไร ประชาชนสามารถปลูกกัญชา-กัญชง ภายในบริเวณบ้านเรือน เพื่อประโยชน์ในการรักษาและดูแลสุขภาพได้ จะปลูกกี่ต้นก็ได้โดย ไม่ต้องขออนุญาต เพียงแต่จดแจ้งผ่านทางเว็ปไซต์และแอปพลิเคชัน ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ชื่อว่า “ปลูกกัญ” ปลูกในเชิงพาณิชย์หรือปลูกเพื่อขายได้ แต่ต้องขออนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขก่อนปลูก ผ่านทางเว็ปไซต์และแอปฯ “ปลูกกัญ” การนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชา กัญชง ส่วนอื่นๆ ของพืช เช่น ช่อดอก ใบ กิ่ง ก้าน ไม่ต้องขออนุญาตนำเข้าตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด แต่ต้องขออนุญาตนำเข้าตาม พ.ร.บ.พันธุ์พืช พ.ศ.2518 และ พ.ร.บ.กักพืช พ.ศ. 2507 และหากเป็นสารสกัดที่นำเข้าจากต่างประเทศ จัดเป็นยาเสพติดให้โทษ ต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด การนำส่วนต่าง ๆ ของกัญชาไปใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์ สามารถทำได้ แต่ต้องขออนุญาตตามกฎหมายและดำเนินการตามคุณภาพมาตรฐานของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ เช่น อาหารต้องทำตาม พ.ร.บ.อาหาร ยาต้องทำตาม พ.ร.บ.ยา และเครื่องสำอางต้องทำตาม พ.ร.บ.เครื่องสำอาง ถึงจะเป็นผลิตภัณฑ์กัญชา-กัญชงที่ถูกกฎหมาย การสูบกัญชา-กัญชง เพื่อผ่อนคลายเป็นการส่งเสริมสุขภาพจิต สามารถทำได้ แต่ต้องสูบในบ้านเรือนของตัวเองอย่างมิดชิด ไม่สร้างความรำคาญแก่ผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข ไม่เคยรณรงค์หรือแนะนำให้มีการสูบกัญชาเพื่อผ่อนคลายใด ๆ เพราะการนำกัญชามาสูบไม่เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่กลับเป็นโทษด้วย

สิ่งที่ทำไม่ได้ หรือไม่ควรทำ ไม่สามารถใช้สารสกัดจากพืชกัญชา-กัญชงที่มีสาร THC เกิน 0.2% เพราะยังเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 อยู่ ไม่สามารถสูบกัญชาแบบม้วนได้ เพราะไม่มีอากรแสตมป์ของกรมสรรพสามิตติดไว้อย่างถูกต้องเหมือนบุหรี่ ว่าง่าย ๆ คือ ไม่สามารถนำเอากัญชาไปมวนแล้วบรรจุซองแบบบุหรี่ได้ เพราะกรมสรรพสามิต ยังไม่อนุญาต จึงไม่มีการจำหน่ายกัญชาแบบมวนและทำให้ไม่สามารถสูบกัญชาแบบมวนได้ย่างถูกต้องตามไปด้วย สูบกัญชาในที่สาธารณะไม่ได้ เนื่องจากกลิ่นและควันจะสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมอนามัย ยังจะออกประกาศกำหนดให้กลิ่นและควันกัญชา กัญชง หรือพืชอื่นใดในทำนองเดียวกันเป็นเหตุรำคาญ มาใช้ควบคุมการสูบกัญชาด้วย ดังนั้นการสูบกัญชา-กัญชง ในที่สาธารณะจะขัดต่อประกาศนี้ จึงเป็นสิ่งไม่ควรทำอย่างยิ่ง ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดให้การกระทำให้เกิดกลิ่นหรือควันกัญชา กัญชง หรือพืชอื่นใด เป็นเหตุรำคาญ พ.ศ.... ในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น สามารถเข้าควบคุมเหตุรำคาญ ด้วยการอาศัยอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 โดยให้ออกคำสั่งทางการปกครองแจ้งเตือนผู้สูบกัญชา-กัญชง ที่สร้างความรำคาญแก่ผู้อื่น แต่หากผู้ได้รับการแจ้งเตือนไม่แก้ไขหรือยังสูบอยู่ ก็ให้เจ้าหน้าที่ ส่วนท้องถิ่นส่งเรื่องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ โดยอัตราโทษกรณี ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นดังกล่าวข้างต้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 25, 000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ทั้งนี้ร่างประกาศดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในเร็ว ๆ นี้

ข้อควรระวังในการใช้กัญชา-กัญชง สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทยได้แสดงความห่วงใยและขอให้มีการจำกัดการเข้าถึงกัญชาของกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก เยาวชน สตรีมีครรภ์ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะทางจิตและอาจมีผลเชิงลบต่อสุขภาพ โดยมีข้อมูลทางการแพทย์ที่ควรสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนดังนี้ 1.เด็กและเยาวชนมีโอกาสเสพติดกัญชามากกว่าผู้ใหญ่ 2.กัญชาส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของสมอง ระดับสติปัญญา การคิดแบบมีเหตุผล และการยับยั้งชั่งใจทั้งขณะเสพ และหลังเสพ และต่อลูกในครรภ์ของมารดาที่ใช้ 3.การเสพติดกัญชาส่งผลให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวมากขึ้น 4.กัญชาเป็นเหตุที่สามารถทำให้เกิดโรคจิต และจิตเภทได้

เตรียมตั้งกรรมการควบคุมการใช้กัญชา-กัญชง รอกฎหมายใหม่ มีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะการปลูก เสพ สูบ สามารถทำได้โดยถูกกฎหมาย แต่ไม่ใช่ทำได้เสรี 100% เพราะพิษภัยของกัญชายังคงมีอยู่ และพฤติกรรมในบางเรื่องที่รัฐจำเป็นต้องควบคุม อาทิ การสูบต้องไม่ก่อให้เกิดความรำคาญกับผู้อื่น , สูบแล้วขับรถอาจจะผิดกฎหมาย เหมือนดื่มแล้วขับ , การใช้ช่อดอกมีสารเสพติดต้องระมัดระวังให้เป็นไปตามกฎหมาย , ห้ามจำหน่ายแก่เด็ก , การผลิตเพื่อจำหน่ายต้องเสียภาษี เป็นต้น โดยระหว่างรอกฎหมายใหม่ควบคุมกัญชา-กัญชง มีผลบังคับใช้ รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการบูรณาการพืชกัญชา-กัญชง ที่มีฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นกรรมการ เช่น ตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นักวิชาการ และภาคประชาชน เพื่อกำกับดูแลในช่วงรอยตอนนี้ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  11 มิถุนายน 2565

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กำชับให้เพิ่มการตรวจสอบมลพิษทางเสียงจากกิจกรรมต่างๆแก้ปัญหาให้ประชาชน หลังพบไตรมาสแรกปีนี้มีเรื่องร้องเรียนสูงเกือบ 1,000 เรื่อง พร้อมพัฒนาคุณภาพการให้บริการและการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนที่หลากหลายขึ้น

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า หลังคณะรัฐมนตรีได้สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2565 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา พบเรื่องร้องทุกข์ที่ประชาชนยื่นเรื่องมากที่สุดเป็นลำดับที่ 2 คือ เรื่องเสียงรบกวนและสั่นสะเทือน โดยขอให้แก้ปัญหามลภาวะทางเสียงจาก สถานบันเทิง สถานประกอบการ ร้านอาหาร บ้านเรือน และวัยรุ่นมั่วสุมรวมกลุ่มแข่งขันรถจักรยานยนต์ส่งเสียงดังรบกวน 921 เรื่อง พร้อมขอให้หน่วยงานเจ้าของข้อมูลจัดทำเนื้อหาข้อมูลข่าวสารและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกรวดเร็ว และให้ทุกหน่วยงานที่มีสายด่วนพร้อมพัฒนาคุณภาพการให้บริการและการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนที่หลากหลาย โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์รองรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้ คพ. ได้จัดทำกฎหมายกำหนดมาตรฐานและวิธีการตรวจวัดระดับเสียงในสิ่งแวดล้อมและควบคุมเสียงจากแหล่งกำเนิดต่างๆ เป็นประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประกาศคณะกรรมการควบคุมมลพิษ และประกาศ ทส. พร้อมคู่มือการดำเนินงาน คือ เสียงโดยทั่วไป เสียงรบกวน เสียงยานพาหนะ กิจกรรมเหมืองหิน เป็นต้น และประกาศ คพ. เรื่อง วิธีการหรือหลักเกณฑ์การตรวจสอบระดับเสียงจากกิจกรรมต่างๆ เช่น การตรวจสอบระดับเสียงอากาศยานในบริเวณพื้นที่รอบสนามบิน พร้อมติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมด้านเสียง การบังคับใช้กฎหมาย และการตรวจสอบข้อร้องเรียนต่างๆด้วย

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวย้ำว่า คพ. มีสถานีตรวจวัดระดับเสียงในพื้นที่ชุมชนและเมืองหลักที่มีการจราจรคับคั่งและเขตควบคุมมลพิษ เช่น กทม. เชียงใหม่ ลำปาง สระบุรี ชลบุรี ระยอง ขอนแก่น นครราชสีมา ภูเก็ต และสงขลา ซึ่งประชาชนสามารถดูการรายงานผ่านทางเว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ http://noisemonitor.net/web/index.php แบบเรียลไทม์ หากมีปัญหาแจ้งเรื่องร้องเรียน สามารถร้องเรียนได้ผ่านทางสายด่วน 1650 หรือร้องเรียนผ่านทางเว็บไซต์ www.pcd.go.th ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  10 มิถุนายน 2565

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ขอให้ประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนระวังฝนตกหนัก พร้อมให้กรุงเทพมหานครเร่งลอกทำความสะอาดท่อระบายน้ำรับฝน

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้รายงานสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศวันนี้ (9 มิ.ย.65) ว่า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ โดยมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีฝนตกหนักบริเวณ จ.สงขลา 168 มิลลิเมตร , นครศรีธรรมราช 49 มิลลิเมตร และปัตตานี 47 มิลลิเมตร ขณะที่ภาพรวมปริมาณน้ำแหล่งน้ำทุกขนาด 45,890 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 56 โดย กอนช. ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าตามมาตรการรับมือฤดูฝนปีนี้ อย่างกรุงเทพมหานคร เร่งลอกทำความสะอาดท่อระบายน้ำรวม 6,564 กิโลเมตร แบ่งเป็น สำนักการระบายน้ำ ระยะทาง 2,050 กิโลเมตร และสำนักงานเขต 50 เขต ระยะทาง 4,514 กิโลเมตร ในเบื้องต้นปีนี้ดำเนินการเสร็จแล้วประมาณ 2,000 กิโลเมตร โดยกรุงเทพมหานครได้ให้แต่ละสำนักงานเขตสำรวจจุดที่เป็นปัญหาน้ำท่วม สำหรับประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคมเป็นช่วงที่ฝนทิ้งช่วง สามารถดำเนินการลอกท่อได้ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความร่วมมือร่วมกันระหว่างภาครัฐและเจ้าของบ้านหรือร้านค้า ด้วยการให้ติดตั้งบ่อดักไขมันลดปัญหาการอุดตันของท่อระบายน้ำ แลเะแก้ปัญหาการระบายน้ำในระยะยาว


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  9 มิถุนายน 2565

กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำรวจพบแหล่งน้ำบาดาลใหม่ในแอ่งย่อยธนบุรีที่ระดับความลึกตั้งแต่ 640 - 1,008 เมตร คาดช่วยให้ประชาชนในตำบลโคกขาม จังหวัดสมุทรสาครกว่า 22,000 คน ใช้ประโยชน์เพื่อการอุปโภค-บริโภคและกระตุ้นเศรษฐกิจพื้นที่เติบโต

นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการศึกษาสำรวจแหล่งน้ำบาดาลระดับลึกพื้นที่แอ่งเจ้าพระยาตอนล่าง (ระยะ 3) เจาะสำรวจระดับความลึกที่สุดของประเทศไทย 1,008 เมตร เพื่อให้เข้าถึงแหล่งน้ำบาดาลคุณภาพใช้ในการอุปโภค // ภาคอุตสาหกรรม และการเกษตรในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร โดย อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กล่าวว่า ได้ให้สำรวจพื้นที่ในจังหวัดสมุทรสาครค้นหาแหล่งน้ำบาดาลใหม่คุณภาพน้ำดี บริเวณวัดสหกรณ์โฆสิตาราม ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ด้วยการพัฒนานวัตกรรมด้านการเจาะน้ำบาดาลระดับลึกในตะกอนกรวดทราย ที่ใช้เทคนิคทดสอบปริมาณน้ำและเก็บตัวอย่างน้ำบาดาล พร้อมผนึกข้างบ่อด้วยซีเมนต์เพื่อป้องกันน้ำเค็มไหลลงไปผสมกับน้ำบาดาลจืด ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบชั้นน้ำบาดาลพบแหล่งน้ำบาดาลใหม่ในแอ่งย่อยธนบุรีที่ระดับความลึกตั้งแต่ 640 - 1,008 เมตร 5 ชั้น คาดว่า จะมีน้ำบาดาลสะสมตัวอยู่ในปริมาณมหาศาลและเป็นน้ำจืดคุณภาพดี ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนในตำบลโคกขาม จังหวัดสมุทรสาครกว่า 22,000 คน รวม 10,000 ครัวเรือน ได้มีโอกาสใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการอุปโภค-บริโภค มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ส่งเสริมและกระตุ้นการผลิตของภาคเอกชน และช่วยเพิ่มความมั่นคงทางด้านทรัพยากรน้ำในเขตอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

สำหรับจังหวัดสมุทรสาครมีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณอ่าวไทยและใกล้กรุงเทพมหานคร ทำให้การขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เกี่ยวกับการแปรรูปอุตสาหกรรมอาหาร เช่น อุตสาหกรรมห้องเย็น อุตสาหกรรมเคมี โดยมีโรงงานกว่า 6,295 แห่ง มีผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) สูงเป็นอันดับ 6 ของประเทศ รองจากกรุงเทพมหานคร ระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ และพระนครศรีอยุธยา ซึ่งทรัพยากรน้ำเป็นปัจจัยสำคัญของภาคอุตสาหกรรม ผลการประเมินการใช้น้ำในสมุทรสาครรวม 385 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี มีความสามารถจัดหาน้ำรวม 290 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี พบยังมีความต้องการใช้น้ำอีกเกือบ 100 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีที่ยังขาดแคลนอยู่

ภาพรวมปัจจุบันสมุทรสาครจัดหาน้ำบาดาลได้ที่ปริมาณรวม 81 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งยังไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน แบ่งเป็น ภาคครัวเรือน 22 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี // ภาคเกษตรกรรม 30 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และภาคอุตสาหกรรม 29 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี จากการตรวจสอบใบอนุญาตคำขออนุญาตใช้น้ำบาดาล พบมีการใช้น้ำบาดาล 113,104 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้น้ำบาดาลที่ระดับความลึกระหว่าง 200 - 400 เมตร คาดการณ์ในอนาคตจะมีแนวโน้มใช้น้ำบาดาลเพิ่มขึ้น


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.