• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  7 มิถุนายน 2566

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสบความสำเร็จลดปริมาณขยะชุมชนและโรงเรียนผ่านโครงการชุมชนปลอดขยะและโครงการโรงเรียนปลอดขยะ “Zero waste” โดยช่วง 15 ปีที่ผ่านมาสามารถนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์เกือบ 300,000 ตัน และมีรายได้นำขยะกลับมาใช้ประโยชน์เกือบ 2,000 ล้านบาท

นายสมศักดิ์ สรรพโกศลกุลอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวในงานสัมมนาการจัดการขยะที่ต้นทางชุมชนและโรงเรียนปลอดขยะ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างชุมชนปลอดขยะและโรงเรียนปลอดขยะพัฒนาต่อยอดกิจกรรมการจัดการขยะที่ต้นทางให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ มุ่งสู่ Build forward Greener ปรับเปลี่ยนชีวิตวีถีใหม่ อย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมว่า ที่ผ่านมากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้นำนโยบายมาสู่การปฏิบัติผ่านโครงการชุมชนปลอดขยะและโครงการโรงเรียนปลอดขยะโดยแนวคิด Zero waste หรือขยะเหลือศูนย์ เพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปริมาณขยะที่ส่งไปกำจัดให้มีปริมาณน้อยที่สุด โดยใช้หลัก 3R มาเผยแพร่ให้ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษา ส่วนการจัดการขยะที่ต้นทาง จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาปลูกฝังจิตสำนึก สร้างการรับรู้ และส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมผ่านกิจกรรมการจัดการขยะที่ได้ลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ดีด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง การจะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทั้งหลายให้คุ้มค่า เมื่อใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นแล้วต้องนำสิ่งเหล่านั้นกลับมาใช้ใหม่ได้ ทั้งนี้ จากการดำเนินงานโครงการชุมชนปลอดขยะและโรงเรียนปลอดขยะ ตั้งแต่ปี 2552 - 2566 มีเครือข่ายชุมชน 1,834 ชุมชน // เครือข่ายโรงเรียน 8,721 โรงเรียน // มีการนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ 271,524 ตัน // ลดค่าใช้จ่ายกำจัดขยะ 271,524,000 บาท // มีรายได้นำขยะกลับมาใช้ประโยชน์กว่า 1,629 ล้านบาท และลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการจัดการขยะรวม 116,755 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

สำหรับปีนี้มีเครือข่ายชุมชนปลอดขยะเข้าร่วมโครงการฯ 109 ชุมชน และเครือข่ายโรงเรียนปลอดขยะ 1,808 โรงเรียน ภาพรวมทั้ง 2 โครงการฯสามารถนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ได้กว่า 9,490 ตัน และลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการจัดการขยะ 788,069 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2eq) แสดงให้เห็นว่าการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทางเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะช่วยลดปัญหามลพิษและปัญหาสิ่งแวดล้อมครอบคลุมหลายด้าน ทั้งช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ลดผลกระทบการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ ลดปัญหาขยะพลาสติก และลดปัญหาขยะทะเล


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  6 มิถุนายน 2566

นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ในช่วงวันสำคัญทางศาสนาและเทศกาลพิเศษต่างๆ พุทธศาสนิกชนมักนิยมทำบุญด้วยการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำกันเป็นจำนวนมาก เพราะเชื่อว่าจะเป็นการสร้างบุญกุศลครั้งใหญ่และเสริมสิริมงคลให้แก่ชีวิต แต่เนื่องจากสัตว์น้ำที่เลือกปล่อยบางชนิด ถูกปล่อยด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าเป็นสายพันธุ์ต่างถิ่น เช่น ปลาซัคเกอร์ ปลาดุกบิ๊กอุย เต่าญี่ปุ่น หรือเต่าแก้มแดง ตะพาบใต้หวัน ฯลฯ ส่งผลให้สัตว์น้ำเหล่านี้เมื่อปล่อยลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะแล้วจะรุกรานพันธุ์สัตว์น้ำพื้นถิ่นของไทย จนทำให้บางชนิดอยู่ในสถานะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ รวมทั้งยังทำลายระบบนิเวศทางธรรมชาติอีกด้วย

ขอแนะนำให้ทำการปล่อยพันธุ์ปลาไทยในการทำบุญ อาทิ ปลาตะเพียน ปลาตะเพียนทอง ปลากระแห ปลาสร้อยขาว ปลากาดำ ปลาซ่า และปลาพื้นเมืองที่มีอยู่ในท้องถิ่น โดยมีวิธีในการปล่อยอย่างถูกต้องและไม่ทำลายระบบนิเวศ อาทิ ปลาตะเพียน ปลาตะเพียนทอง ปลากระแห ปลาสร้อยขาว ปลากาดำ ปลาซ่า ควรปล่อยในแม่น้ำ ลำคลองที่เป็นแหล่งน้ำไหล เนื่องจากเป็นปลาที่ต้องการออกซิเจนสูง ปลาไหล ควรปล่อยลงในแม่น้ำ ห้วยหนอง คลองบึง ท้องนา หรือร่องสวน บริเวณที่มีดินเฉอะแฉะและกระแสน้ำไหลไม่แรงมาก เนื่องจากปลาไหลชอบขุดรูเพื่ออยู่อาศัย

กบ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ชอบอยู่ในที่ชื้นแฉะ จึงไม่ควรปล่อยลงแม่น้ำ ควรหาที่นา หรือคลองที่มีกอหญ้า หรือพันธุ์ไม้น้ำ เพราะกบก็จะใช้เป็นที่อยู่อาศัยและปลาสวาย ปลาบึก ควรปล่อยลงในแม่น้ำลำคลองที่มีระดับน้ำลึกและกระแสน้ำไหลแรง เพราะปลาเหล่านี้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงต้องใช้พื้นที่กว้างในการดำรงชีวิต

นอกจากนี้ ในการปล่อยสัตว์น้ำ ยังต้องคำนึงถึงความสมบูรณ์แข็งแรงของสัตว์น้ำและสภาพแวดล้อมของสถานที่ที่จะนำไปปล่อยด้วย กรมประมง ขอให้พี่น้องประชาชนได้ตระหนักถึงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อการทำบุญ โดยไม่ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นลงแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างเด็ดขาดและหันมาปล่อยสัตว์น้ำพันธุ์ไทยที่กรมประมงแนะนำแทน ซึ่งนอกจากจะไม่ทำลายระบบนิเวศสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังได้บุญเต็มร้อย เพราะการปล่อยสัตว์น้ำพันธุ์ไทยถือเป็นการช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพให้กับประเทศอีกทางหนึ่งด้วย


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  5 มิถุนายน 2566

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันเปลี่ยนโลก ด้วยการลด-ละ-เลิก พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว เพื่อลดมลพิษจากขยะพลาสติก เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ขณะที่ภาพรวมสามารถลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟมบรรจุอาหารได้กว่า 3,414 ล้านใบ

นายสมศักดิ์ สรรพโกศลกุล อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) กล่าวว่า เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2566 ตรงกับวันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันเปลี่ยนโลก ด้วยการลด-ละ-เลิก พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว single-use plastics เพื่อลดมลพิษจากขยะพลาสติก โดยทุกคนสามารถช่วยโลกได้เพียงเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ที่ผ่านมากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนการจัดการขยะพลาสติกร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องมาโดยตลอดผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมรณรงค์ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดรับลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” ในตลาดสดเทศบาลกว่า 7,000 แห่ง สามารถลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟมบรรจุอาหารได้กว่า 3,414 ล้านใบ หรือประมาณ 9,824 ตัน // กิจกรรมรณรงค์ “Everyday Say No To Plastic Bags” ร่วมกับเครือข่ายห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 – ธันวาคม 2565 สามารถลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียวรวมกว่า 14,349 ล้านใบ หรือประมาณ 81,531 ตัน // โครงการเปลี่ยนพลาสติกเป็นบุญ (เมื่อคุณหมุนเวียน) รับบริจาคพลาสติกแข็งและพลาสติกยืด โดยตั้งจุดรับคืนพลาสติก (Drop Point) นำกลับไปรีไซเคิลหรือเพิ่มมูลค่ากลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (Upcycling) สามารถลดการใช้ถุงพลาสติกแบบบางในภาพรวมลดลงร้อยละ 43 หรือประมาณ 148,699 ตัน // โครงการร้านกาแฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Coffee Shop) และโครงการอื่นๆที่ยังดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  4 มิถุนายน 2566

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ 22 จังหวัด ช่วงวันที่ 7 – 11 มิถุนายนนี้

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้ออกประกาศเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ฉบับที่ 5 หลังพบจะมีร่องมรสุมพาดผ่าน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมและมีกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนภาคใต้จะยังมีฝนตกต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านรับมรสุม และมีฝนตกหนักบางแห่งช่วงวันที่ 7 – 11 มิถุนายน เบื้องต้นได้ประเมินวิเคราะห์สถานการณ์น้ำด้วยฝนคาดการณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) พบพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และพื้นที่ชุมชนเมืองที่เคยเกิดน้ำท่วมขังไม่สามารถระบายได้ทัน คือ ภาคเหนือ ใน จ.เชียงใหม่ บริเวณอำเภอเชียงดาว แม่แจ่ม แม่วาง กัลยาณิวัฒนา จอมทอง สะเมิง อมก๋อย และฮอด // แม่ฮ่องสอน บริเวณอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน แม่ลาน้อย แม่สะเรียง ขุนยวม ปางมะผ้า ปาย และสบเมย // ลำพูน บริเวณอำเภอทุ่งหัวช้าง แม่ทา บ้านโฮ่ง และป่าซาง // ตาก บริเวณอำเภอแม่ระมาด แม่สอด พบพระ ท่าสองยาง และอุ้มผาง // แพร่ บริเวณอำเภอเด่นชัย // พิจิตร บริเวณอำเภอบางมูลนาก // อุตรดิตถ์ บริเวณอำเภอฟากท่า // นครสวรรค์ บริเวณอำเภอบรรพตพิสัย // เพชรบูรณ์ บริเวณอำเภอวิเชียรบุรี // อุทัยธานี บริเวณอำเภอหนองขาหย่าง ขณะที่ภาคตะวันออก ใน จ.ฉะเชิงเทรา บริเวณอำเภอบ้านโพธิ์ // สระแก้ว บริเวณอำเภอวัฒนานคร // ชลบุรี บริเวณอำเภอพานทอง // ระยอง บริเวณอำเภอเมืองระยอง บ้านค่าย และแกลง // จันทบุรี บริเวณอำเภอเมืองจันทบุรี แหลมสิงห์ และขลุง // ตราด บริเวณอำเภอเกาะกูด เกาะช้าง เขาสมิง เมืองตราด แหลมงอบ และคลองใหญ่ ส่วน ภาคใต้ ใน จ.ระนอง บริเวณอำเภอกะเปอร์ เมืองระนอง และสุขสำราญ // พังงา บริเวณอำเภอกะปง คุระบุรี ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า และท้ายเหมือง // ภูเก็ต บริเวณอำเภอกะทู้ ถลาง และเมืองภูเก็ต // กระบี่ บริเวณอำเภอคลองท่อม เกาะลันตา เมืองกระบี่ เหนือคลอง และอ่าวลึก // ตรัง บริเวณอำเภอเมืองตรัง กันตัง และปะเหลียน // สตูล บริเวณอำเภอละงู และยะลา บริเวณอำเภอรามัน

ทั้งนี้ กอนช.ยังกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตรในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ หรือพื้นที่ชุมชนเมืองที่เคยเกิดน้ำท่วมขังไม่สามารถระบายได้ทัน พร้อมเตรียมแผนรับสถานการณ์น้ำหลาก ความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ลอกท่อระบายน้ำ และพร้อมให้ความช่วยเหลือได้ทันที


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  3 มิถุนายน 2566

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เฝ้าระวังฝนตกหนักจนมีพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก โดยเฉพาะในภาคตะวันออกและภาคใต้ ขณะที่หน่วยงานต่างๆเร่งเตรียมแผนรับมืออุทกภัยและเอลนีโญ

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวถึงสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศวันนี้ (3 มิ.ย.66) ว่า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนอง โดยมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกและภาคใต้ ช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณ จ.อุทัยธานี กาฬสินธุ์ นราธิวาส นครนายก สิงห์บุรี และกาญจนบุรี ทำให้ต้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังน้ำหลากช่วง 1-3 วัน ในภาคเหนือ บรเิวณ จ.แม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ // ภาคตะวันออก จ.ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด // ภาคใต้ จ.ระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล พร้อมคาดการณ์สถานการณ์ฝน

มีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย คือ จังหวัดพังงา บริเวณ อ.ท้ายเหมือง ตะกั่วป่า คุระบุรี เพื่องพังงา และระนอง บริเวณ อ.เมืองระนอง ทั้งนี้ กอนช. ยังได้เร่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าแผนปฏิบัติ 12 มาตรการรับมือฤดูฝนปีนี้อย่างเคร่งครัด โดยกรมทางหลวงชนบทเร่งขุดลอกดินโคลนและเศษวัชพืชที่กีดขวางทางน้ำบริเวณห้วยหินแตก พร้อมติดตั้งกล่องลวดตาข่ายบรรจุหิน (Gabion boxes) ป้องกันกระแสน้ำกัดเซาะตลิ่งและบริเวณเชิงสะพานบนถนนทางหลวงชนบทสาย นค.3026 แยก ทล.211 บ้านเชียงดี (ตอนหนองคาย) อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย เพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์อุทกภัยช่วงฤดูฝน รวมถึง การทำความสะอาดช่องทางระบายน้ำ ตัดหญ้า กำจัดวัชพืชที่ขวางทางระบายน้ำ ท่อลอดหรือสะพาน เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชน

ขณะเดียวกัน สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหน่วยงานในพื้นที่ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เดินหน้าแผนรับมือเอลนีโญในพื้นที่ต้นน้ำของลุ่มน้ำปาสัก อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เบื้องต้นรับทราบปัญหาการใช้น้ำในพื้นที่ทั้งปัญหาน้ำลันตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนช่วงน้ำหลากเป็นประจำทุกปี // ดินตะกอนไหลทับถมกลางแม่น้ำป่าสักเกิดการตื้นเชิน // ช่วงหน้าแล้งมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำด้านการอุปโภค-บริโภค ของประชาชนในพื้นที่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโครงการป้องกันตลิ่งและเสริมกันกั้นน้ำแม่น้ำป่าสัก ม.2 ต.ตาลเดี่ยว อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  2 มิถุนายน 2566

กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดให้ท่องเที่ยวฟรีในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทั่วประเทศ สำหรับบุคคลชาวไทยวันที่ 3 มิถุนายนนี้

กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ออกประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมค่าเข้าอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทั่วประเทศ สำหรับบุคคลชาวไทยและยานพาหนะทั่วประเทศ เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี วันที่ 3 มิถุนายน 2566 เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและน้อมถวายความจงรักภักดีสนองต่อพระราชกรณียกิจด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึง ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปได้ศึกษา เรียนรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ ครอบคลุมด้านนันทนาการและพักผ่อนหย่อนใจในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทั่วประเทศ ซึ่งเป็นวันหยุดยาวติดกัน 3 วัน เหมาะกับการท่องเที่ยวพักผ่อน ทั้งนี้ กรมอุทยานฯขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่าและเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด สิ่งสำคัญขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวไม่นำพลาสติก โฟม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าพื้นที่และขอความร่วมมืองดให้อาหารสัตว์ป่าด้วย

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถตรวจสอบข้อมูลการปิดแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติต่างๆ ปิดประจำปี เพื่อฟื้นฟูทรัพยากร ปิดเฝ้าระวังเหตุภัยพิบัติ ปิดเพื่อปรับปรุงได้ที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  1 มิถุนายน 2566

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศด้วยการปลูกต้นไม้เพิ่มเติมในเขตเมือง เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2566

นายสมศักดิ์ สรรพโกศลกุล อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) กล่าวว่า กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดกิจกรรมเนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2566 ปีนี้ ตรงกับวันที่ 3 มิถุนายน บริเวณศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อสร้างและกระตุ้นจิตสำนึกให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ของประเทศ แล้วยังช่วยป้องกัน ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดมลภาวะที่เกิดจากฝุ่นละอองและหมอกควัน เนื่องจากเมืองและชุมชนขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้นไม้และพื้นที่สีเขียวลดลง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลภาวะเป็นพิษจากฝุ่นและหมอกควัน ดังนั้น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว หรือการปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นจะช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวได้อย่างดี

สำหรับกิจกรรมมีการเรียนรู้ขั้นตอน วิธีการปลูก บำรุงต้นไม้ พร้อมปลูกป่านิเวศตามทฤษฎีของ ศาสตราจารย์ อาคิระ มิยาวากิ เป็นการปลูกป่าด้วยพันธุ์ไม้พื้นเมืองที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและเป็นการปลูกต้นไม้ในใจคนให้เกิดความรักความหวงแหนทรัพยากรป่าไม้ของชาติ ซึ่งเป็นหนทางนำไปสู่การอนุรักษ์และรู้จักการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าและเก็บรักษาไว้ให้ลูกหลานต่อไปในอนาคต จึงขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมกันปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้โลก


สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์  31 พฤษภาคม 2566

คณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก พิจารณาขึ้นทะเบียนโครงการและรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกของโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) 14 โครงการ พร้อมเดินหน้าลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศทุกช่องทาง

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ครั้งที่ 6 ได้พิจารณาเรื่องการขึ้นทะเบียนโครงการและรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกของโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) โดยมีการขึ้นทะเบียนโครงการ Standard T-VER 1 โครงการ และการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกโครงการ Standard T-VER 13 โครงการ รวมทั้ง การอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร 111 องค์กร // คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ 345 ผลิตภัณฑ์ จาก 41 บริษัท // ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ หรือฉลากลดโลกร้อน 58 ผลิตภัณฑ์ จาก 10 บริษัท // คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์เศรษฐกิจหมุนเวียน 11 ผลิตภัณฑ์ จาก 7 บริษัท พร้อมยังได้รับทราบการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้จากโครงการ LESS และการออกใบประกาศเกียรติคุณ การสรุปผลการประชุมด้านเทคนิคและศึกษาดูงานด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการกักเก็บและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ณ ประเทศญี่ปุ่น และการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดกิจกรรมโครงการป่านิเวศระยองวนารมย์ กลุ่ม ปตท.

ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวย้ำว่า ขอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. โดยเฉพาะการสร้างผลสัมฤทธิ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างความรู้ความเข้าใจต่อการทำงานของ อบก. 4 เรื่องสำคัญมาใช้ขับเคลื่อน คือ กฎหมายและนโยบาย // นวัตกรรมและเทคโนโลยี // งบประมาณ และสุดท้ายการมีส่วนร่วม โดยขอให้พัฒนางานต่อเนื่องและผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อก้าวสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้บรรลุเป้าหมายเป็นผลสำเร็จได้


  1. กอนช. เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำหลากจากฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ของประเทศ ขณะที่กรมฝนหลวงฯ ยังคงขึ้นบินปฏิบัติการฝนหลวงแก้ปัญหาฝนทิ้งช่วงในพื้นที่การเกษตร
  2. ก.ทรัพย์ ตั้งศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพแห่งแรกที่กระบี่ เพื่อยกระดับการสื่อสารสู่พื้นที่
  3. กรมทรัพยากรธรณี ขอให้อาสาสมัครเครือข่ายเฝ้าระวังดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากถึง 29 พ.ค.นี้ในพื้นที่ 7 จังหวัด หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง
  4. ก.ทรัพย์ เดินหน้าขับเคลื่อนการเพิ่มคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าชายเลน พร้อมตั้งเป้า 10 ปี เพิ่มป่าชายเลนให้ได้ 300,000 ไร่
© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.