• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  23 มกราคม 2567

ที่มา : https://www.thaipost.net/news-update/521396/

คนไทยหนึ่งคนสร้างขยะอาหารถึง 146 กิโลกรัมต่อปี ปัจจุบันไทยมีปริมาณขยะอาหารเกิดขึ้นประมาณ 9.7 ล้านตันต่อปีขณะนี้ทั่วโลกเผชิญกับปัญหาขยะอาหารและอาหารส่วนเกินUN กำหนดให้การลดขยะอาหารเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เมื่อปี 2558 กำหนดเป้าลดขยะอาหารในระดับค้าปลีกและบริโภคทั่วโลกลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 สำหรับประเทศไทยพบว่า ตลาดสดมีการทิ้งของขยะอาหารสูงสุด รองลงมา ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ และอาคารสำนักงาน ซึ่งสถานที่ที่กล่าวมามีศูนย์อาหารอยู่ด้วย

เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ  และประธานคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ เห็นชอบแผนที่นำทางการจัดการขยะอาหาร (พ.ศ.2566 – 2573) และแผนปฏิบัติด้านการจัดการขยะอาหาร ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 – 2570) เพื่อเป็นทิศทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอาหารของประเทศ เน้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมป้องกันและลดขยะอาหาร จัดระบบคัดแยกขยะอาหาร ณ แหล่งกำเนิด จัดระบบกำจัดขยะอาหาร ณ สถานที่กำจัดขยะมูลฝอย สนับสนุนและผลักดันให้ประชาชนคัดแยกขยะอาหารออกจากขยะทั่วไป และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีระบบคัดแยกและเก็บขนขยะแบบแยกประเภท


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  22 มกราคม 2566

ที่มา: https://www.prachachat.net/property/news-1480274

นางสาวศิวารยา ศรีติรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แซง-โกแบ็ง ประเทศไทย ได้จัดเสวนาหัวข้อ “ยกระดับความท้าทายเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในอุตสาหกรรมการก่อสร้างของประเทศไทย – Elevate ambitions for a Sustainable Future, fostering positive change in Thailand’s construction industry” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อตอกย้ำการเป็นองค์กรที่มีแนวทางการทำธุรกิจแบบยั่งยืน ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมในระดับสากล โดยมี นายเบอร์นัว บาร์แซง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม แซง-โกแบ็ง และผู้บริหารระดับประเทศที่เป็นพันธมิตรธุรกิจ ร่วมเสวนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม

จุดเน้นอยู่ที่นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนและระบบธุรกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อเป็นแนวทางในการร่วมกันสร้าง และพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน มีเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำโซลูชั่นการก่อสร้างในรูปแบบ “Light and Sustainable Construction”

ทั้งนี้ แนวทาง Sustainability เป็นเป้าหมายที่สำคัญของกลุ่มบริษัทแซง-โกแบ็งมาโดยตลอด ภายใต้พันธกิจ Making the world a better home เริ่มตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุ กระบวนการผลิต ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน การประเมินวัฏจักรชีวิต (LCA) และการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งได้กำหนดเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง 10 ปีที่ผ่านมา

อาทิ การกำหนด Green Direction ให้สอดคล้องกับกฎบัตรด้านสิ่งแวดล้อม EHS เพื่อขับเคลื่อนสู่องค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 โดยกลุ่มบริษัทแซง-โกแบ็ง ได้ส่งเสริมบทบาทในการป้องกัน และบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน นักลงทุน ผู้กำหนดนโยบาย ลูกค้า ซัพพลายเออร์ องค์กรภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  21 มกราคม 2567

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์ (https://www.khaosod.co.th/pr-news/news_8057018/)

“พัชรวาท” กระตุ้นตลาดผลิตภัณฑ์ทรัพยากรชีวภาพจากชุมชน ส่งเสริม BEDO จับมือ ลาซาด้า ขยายช่องทางสู่ตลาดออนไลน์ หวังเพิ่มรายได้ให้เศรษฐกิจชุมชน

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ภายใต้นโยบายสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนของประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทั้งในระดับธุรกิจและระดับชุมชน มีการขับเคลื่อนกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจากทรัพยากรชีวภาพในท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน ซึ่งสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO ซึ่งเป็นองค์การมหาชนภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เข้าไปส่งเสริมชุมชนท้องถิ่นที่มีศักยภาพทั่วประเทศ นำฐานทรัพยากรชีวภาพในท้องถิ่นของตนเองมาใช้ประโยชน์ และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้มาตรฐาน BEDO’s..Concept คือ 1) มีการใช้วัตถุดิบจากทรัพยากรชีวภาพของชุมชน  2) มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 3) นำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลับไปฟื้นฟู ดูแลรักษาแหล่งวัตถุดิบ หรือทรัพยากรชีวภาพของชุมชน เพื่อให้ทรัพยากรชีวภาพคงอยู่ และนำมาหมุนเวียนใช้ประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา BEDO ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทรัพยากรชีวภาพร่วมกับชุมชน จนได้รับเครื่องหมายรับรอง B-MARK ตามหลักการ BEDO’s Concept แล้วกว่า 115 รายการ ใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1) อาหารและเครื่องดื่ม 2) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ 3) เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัว และ 4) ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้สอย ดังนั้น เพื่อเป็นการขยายช่องทางจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทรัพยากรชีวภาพให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น นอกจาก การจัดจำหน่ายผ่านร้าน BIOVALUE..(ไบโอแวลู) ของ BEDO แล้ว ยังได้สร้างความร่วมมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมอย่าง ลาซาด้า (Lazada) เพื่อเพิ่มช่องการจัดจำหน่ายทางออนไลน์ให้กับประชาชนได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ทรัพยากรชีวภาพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และดีต่อสุขภาพ ได้อย่างสะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น โดยสามารถเข้าไปเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ผ่านทางช่องทางออนไลน์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ซึ่งการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทรัพยากรชีวภาพภายใต้เครื่องหมายรับรอง B-MARK จะทำให้ชุมชนได้ประโยชน์ ทั้งในด้านการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เสริมความเข้มแข้งให้กับชุมชนยิ่งขึ้น และยังเป็นการส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมดูแลรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของท้องถิ่นให้คงอยู่ เพื่อเป็นฐานทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  20 มกราคม 2567

ที่มา : https://www.kaohoon.com/news/649904

กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ พบแร่ “ลิเธียม” จาก 2 แหล่ง มากสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก อีกทั้งพบ“แร่โซเดียม” สำรองอีกจำนวนมาก ดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตแบตเตอรี่ “EV” ในภูมิภาค คาดดีมานด์รถยนต์ไฟฟ้า ปี 67 พุ่งทะลุ 150,000 คัน

ประเทศไทยได้สำรวจพบ “แร่ลิเธียม” ที่มีศักยภาพ 2 แหล่ง ได้แก่ แหล่งเรืองเกียรติ และแหล่งบางอีตุ้ม ทางภาคใต้ของประเทศไทยกว่า 14,800,000 ล้านตัน ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศที่ค้นพบ “แร่ลิเธียม” มากที่สุดเป็นอันดับ 3ของโลก รองจากโบลิเวีย และอาร์เจนตินา และล่าสุดไทยยังค้นพบแหล่ง “แร่โซเดียม” ในพื้นที่ภาคอีสานปริมาณสำรองอีกจำนวนมาก

ทั้งนี้แร่ทั้งสองชนิดนี้ ถือเป็นแร่หลักที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) 100% เสริมศักยภาพความพร้อมของไทยในการเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางและฐานการผลิตแบตเตอรี่ (EV) ในภูมิภาคอีกด้วย


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  19 มกราคม 2566

ที่มา: https://thaipublica.org/2024/01/or-sustainability-sdg-in-action-pr-17012024/

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า OR มีวิสัยทัศน์และแนวคิดในการสร้างความยั่งยืน โดยมีการนำประเด็นความยั่งยืนตามแนวทาง SDG ในแบบฉบับของ OR คือ S-Small โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก D-Diversified โอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ และ G-Green โอกาสเพื่อสังคมสะอาด มาผสมผสานกับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน พร้อมทั้งนำเป้าหมาย OR 2030 Goals มาติดตามและทบทวนอย่างต่อเนื่อง

OR ได้นำไปสู่การลงมือปฏิบัติจริง แบบ In Action ตั้งแต่กลยุทธ์ แผนปฏิบัติการและเป้าหมายธุรกิจจนเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น วิภาวดี 62 โครงการไทยเด็ด การพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้ OR ได้รับการยอมรับให้เป็นต้นแบบในการบริหารธุรกิจอย่างยั่งยืนทั้งในระดับสากลและระดับประเทศในปี 2566 โดยเป็นสมาชิกของ DJSI ที่มีผลคะแนนเป็นลำดับที่ 1 ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรม Retailing ได้รับรางวัล Best Sustainability Awards จาก SET Sustainability Awards 2023 และได้รับผลการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Rating 2023 ระดับสูงสุด AAA ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจและตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจของ OR เพื่อสร้างความเข้มแข็งและการเติบโตอย่างยั่งยืน เคียงข้างชุมชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ตามแนวทาง ESG ทั้ง 3 มิติ ไม่ว่าจะเป็นมุมมองเรื่องของ สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่ดี

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมการจัดบูธนิทรรศการแสดงผลงานแบ่งออกเป็น 3 ด้านได้แก่ บูธด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonization) บูธเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และบูธการดำเนินงานเพื่อสังคม เพื่อบอกเล่าเรื่องราว การลงมือทำจริงของ OR ที่สะท้อนการดำเนินธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลที่ดี ไปพร้อมกับการให้ความสำคัญและใส่ใจสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  18 มกราคม 2567

พื้นที่สีเขียวไม่ได้มีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของมวลกระดูกในเด็ก ลดความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนในอนาคต จะเป็นเพราะอะไรงานวิจัยมีคำตอบ ปัญหา “โรคกระดูกพรุน” ไม่ได้เกิดแค่กับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่เด็กก็มีสิทธิ์เป็นได้จากปัญหาทางพันธุกรรม ที่จะส่งผลเสียต่อกระดูกมากยิ่งขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่

งานวิจัยล่าสุดของเบลเยียมเปิดเผยว่า “พื้นที่สีเขียว” มีส่วนช่วยเพิ่มความแข็งแรงในมวลกระดูกของเด็ก ไปจนถึงป้องกันปัญหากระดูกพรุนที่อาจตามมาในอนาคต เด็กที่มีพื้นที่สีเขียวอย่างน้อย 25% ในรัศมี 1,000 เมตรจากบ้าน มีโอกาสที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกจะลดลงน้อยลงกว่าเด็กที่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่สีเขียวถึง 66%

เมื่อมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน วารสาร JAMA Network Open โดย ทิม นอว์รอต (Tim Nawrot), ฮานน์ สลัวร์ส (Hanne Sleurs) และทีมงานจากมหาวิทยาลัยในเบลเยียมพบว่าเด็กที่มีพื้นที่สีเขียวใกล้บ้านมักมีกระดูกที่แข็งแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ประโยชน์ต่อสุขภาพตลอดชีวิต โดยเด็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สีเขียวเป็นส่วนใหญ่ (มากกว่าร้อยละ 20-25) มีความแข็งแรงของกระดูกมากขึ้นเมื่อเทียบกับการเติบโตตามธรรมชาติในเวลาครึ่งปี รวมถึงมีความเสี่ยงที่มวลหนาแน่นของกระดูกจะลดลง น้อยกว่าเด็กทั่วไปถึงร้อยละ 65 เพราะพื้นที่สีเขียวสามารถป้องกันไม่ให้เด็กกระดูกหักได้ง่าย ไปจนถึงลดความเสี่ยงในการเกิด “โรคกระดูกพรุน” เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่สำหรับความเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่สีเขียวและความแข็งแรงของมวลกระดูก ทีมนักวิจัยพบว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่เด็กเหล่านั้นได้มีโอกาสออกกำลังกายมากกว่าเด็กที่โตขึ้นในตัวเมืองหรือจุดที่เข้าถึงพื้นที่สีเขียวได้ยาก เพราะการออกกำลังเป็นประจำคือปัจจัยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก นอกจากนี้สถานที่สีเขียวเหล่านี้ยังดึงดูดใจเด็กๆ ให้ออกไปวิ่งเล่นอีกด้วย “ยิ่งมวลกระดูกแข็งแรงขึ้นตั้งแต่ในวัยเด็กเท่าไร คุณก็จะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ง่ายขึ้นเท่านั้น” ทิม ระบุ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีงานวิจัยที่อธิบายว่า การเข้าถึงพื้นที่สีเขียวมากขึ้นเพื่อช่วยให้เด็กได้มีกิจกรรมทางกายมากขึ้นนั้น มีประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็กมากกว่าที่คิดเอาไว้มาก เช่น ลดความเสี่ยงภาวะน้ำหนักเกินที่อาจก่อให้เกิดโรคอ้วน ความดันโลหิตลดลง ไอคิวสูงขึ้น รวมไปถึงมีสุขภาพจิตและอารมณ์ที่ดีขึ้นด้วย ทั้งนี้ในราชอาณาจักรยังพบว่า “พื้นที่สีเขียว” ไม่ได้ส่งผลดีแค่กับเด็กเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้ใหญ่มีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีขึ้นเช่นกัน โดยมีการคาดการณ์ว่าการเดินป่าจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตไปได้ถึง 185 ล้านปอนด์ต่อปี หรือประมาณ 8 พันล้านบาท การศึกษาของ ทิม นอว์รอต และ ฮานน์ สลัวร์ส ใช้วิธีสำรวจจากการติดตามเด็ก 1,492 คน ในแถบฟลานเดอร์ส ประเทศเบลเยียม ที่มีอายุ 4-6 ปี ทั้งในตัวเมือง ชานเมือง และชนบท ตั้งแต่ปี 2014-2021 หลังจากนั้นก็ทำการอัลตราซาวนด์เพื่อวัดความหนาแน่นของ มวลกระดูกในเด็ก โดยใช้อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง เชื้อชาติ และอื่นๆ มาเป็นตัวชี้วัดผลวิจัยพบว่าเด็กที่มีพื้นที่สีเขียวอย่างน้อย 25% ภายในรัศมี 1,000 เมตรจากบ้าน มีโอกาสที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกจะลดลงน้อยกว่าเด็กที่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่สีเขียวถึงร้อยละ 66 ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ท้ายที่สุดนี้ทีมนักวิจัยได้ให้ข้อสรุปว่าผลจากการศึกษานั้นพบว่า “พื้นที่สีเขียว” มีความสำคัญต่อเด็กอย่างมาก เพราะถ้าการเจริญเติบโตของมวลกระดูกต่ำตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ถือว่าเสี่ยงต่อการเกิด “โรคกระดูกพรุน” ไม่ต่างกับการสูญเสียมวลกระดูกเมื่ออายุเพิ่มขึ้น

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ (https://www.bangkokbiznews.com/health/social/1108914)


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาิตและสิ่งแวดล้อม  17 มกราคม 2567

ที่มา : https://www.matichon.co.th/region/news_4371620

ตัวแทนภาคีคนรักเมืองสงขลา และ 30 องค์กร ในจังหวัดสงขลา ร่วมจัดทำแผนกลยุทธ์สงขลาสู่มรดกโลก นำส่งนายสมนึก พรมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เพื่อขับเคลื่อนสงขลาสู่มรดกโลกอย่างเป็นรูปธรรม

แผนตามหลักวิชาการ ซึ่งเป็นผลพวงจากการดำเนินการหลังจากการเสนอรายชื่อเมืองเก่าสงขลา เป็นเมืองมรดกโลกเบื้องต้น และ ตัวแทนจากอีโคโมส ได้เดินทางมาตรวจสอบสภาพพื้นที่โบราณสถาน เมืองเก่าสงขลาและได้แสดงความเห็น ข้อแนะนำ 50-60 ข้อ ก่อนที่จะมีการระดมทุกภาคส่วนจาก 30 องค์กร มาร่วมกันจัดทำแผน เพื่อก้าวไปสู่เมืองมรดกโลกต่อไป

โดยแผนดังกล่าวมีการกำหนดกรอบกว้าง ๆ 3 ด้าน คือ ด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้สอดรับกับเมืองมรดกโลก การพัฒนาสิ่งสาธารณูปโภค และ งานทางด้านวิชาการที่ได้รวมสถาบันทางการศึกษาในพื้นที่ มาร่วมในคณะทำงาน

ส่วนปัญหาการบุกรุกโบราณสถานเขาแดง และ โบราณสถานเขาน้อย อ.สิงหนคร ทำให้เกิดความเสียหายในหลายจุด นั้น ความเสียหายดังกล่าวไม่ได้มีผลต่อการพิจารณา เนื่องจากเมืองมรดกโลกหลายแห่งทั่วโลกก็เคยประสบปัญหาเหล่านี้ แต่สิ่งสำคัญในการพิจารณา คือ การมีส่วนร่วมของชุมชน แผนการบูรณะ ซึ่งจะพิจารณาจากความเป็นไปได้ในการดำเนินการ รวมถึงแผนในการรักษาโบราณสถานและเมืองเก่าเอาไว้ ภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  16 มกราคม 2566

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/environment/1107790

รอยัล ภูเก็ต มารีน่า (RPM) ได้ประกาศตัวในฐานะท่าจอดเรือปลอดคาร์บอนแห่งแรกของเอเชีย ซึ่งเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่ถูกสร้างขึ้นจากความมุ่งมั่นที่ผ่านมาในการเปลี่ยนแปลงมากมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน การได้รับการรับรองในครั้งนี้ RPM ไม่เพียงแต่ตอกย้ำตัวเองในฐานะผู้นำถึงการพัฒนาด้านความยั่งยืน กำหนดมาตรฐานในการเป็นผู้นำในการสร้างแนวทางปฏิบัติทางเรือที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมไปสู่ทั่วทั้งเอเชียอีกด้วย

RPM เปรียบเสมือนประตูสู่อ่าวพังงาและทะเลอันดามัน ท่าเรือมาตรฐานระดับสากล ผู้บุกเบิกด้านการบริการท่าจอดเรือที่ได้รับรางวัลและการรับรองมาตรฐานสูงสุดของภูเก็ต สะอาด ปลอดภัย ทันสมัยท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ โดยตั้งแต่ปี 2559 RPM ได้หันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ โดยแผงโซลาร์เซลล์บนอาคารที่จอดเรือในร่ม ซึ่งสามารถจ่ายพลังงานได้มากกว่า 40% ต่อวัน ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแห่งประเทศไทย หรือ อบก. ในฐานะที่เป็นองค์กรที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศเพื่อต่อสู้กับปัญหาภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ RPM ยังทำงานร่วมกับพันธมิตร ในการลดการใช้ขวดพลาสติกในกิจกรรมการเดินเรือทุกประเภท ตั้งเป้าหากสำเร็จจะสามารถช่วยลดขวดพลาสติกไปได้ราว ๆ กว่า 4 ล้านขวดต่อปี

ในฐานะผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน RPM มีจุดประสงค์ในการสร้างแรงบันดาลใจที่กระตุ้นและเน้นย้ำให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ท่าจอดเรือควรมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ของประเทศไทยมีความสอดคล้องกับแนวทางกับหลักสากลด้วย ความมุ่งมั่นนี้สอดคล้องกับเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทยในการบรรลุความเป็นกลางของคาร์บอนภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608

นายกูลู ลัลวานี ประธานบริษัท รอยัล ภูเก็ต มารีน่า (RPM) กล่าวว่านอกเหนือจากบทบาททั่วไปในฐานะท่าจอดเรือแล้ว RPM เป็นเหมือนจุดหมายปลายทางที่ผสมผสานความหรูหราและความยั่งยืนได้อย่างลงตัว ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่มอบไลฟ์สไตล์ที่กลมกลืนกับความงามดั้งเดิมของภูเก็ต ในฐานะท่าจอดเรือปลอดคาร์บอนแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชีย


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.