• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  19 พฤศจิกายน 2567

ที่มา : ข่าวสด ออนไลน์ (https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_9510090)

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จัดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 4 ประจำปี 2567 “The 4th International Conference on Environment, Livelihood, and Servicing”​โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มูลนิธิชัยพัฒนา ร่วมกับคณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 4 ประจำปี 2567 เรื่อง “The 4th International Conference on Environment, Livelihood, and Servicing ในระหว่างวันที่ 19 – 21 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร และถ่ายทอดผ่านระบบออนไลน์ ในรูปแบบไฮบริด

ในการนี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ทรงเปิดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมทรงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “Sustainable Development through the Initiatives of the Chaipattana Foundation : Safeguarding Against Global Changes” ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เวลา 15.00 น.​สำหรับการประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อม The..4th International Conference on Environment, Livelihood, and Servicing ประจำปี 2567 จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้การจัดการน้ำเสียด้วยวิธีทางธรรมชาติตามแนวพระราชดำริ การรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก และการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเปิดโอกาสให้แก่นักวิจัย และนักศึกษา ได้แสดงผลงานวิจัย และสร้างเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อม โดยในการประชุมครั้งนี้ จะมีหัวข้อการประชุมใน4 หัวข้อหลัก ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและการปรับตัวของทรัพยากรธรรมชาติ การเตรียมพร้อม เพื่อรับมือกับ ภัยพิบัติและมลพิษทางธรรมชาติ มาตรการลดการปลดปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์และการปรับตัวตามสิ่งแวดล้อม การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นรวมจำนวน 3 วัน โดยมีวิทยากรพิเศษ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากนานาประเทศ อาทิ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐออสเตรีย เครือรัฐออสเตรเลีย แคนนาดา สหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐฝรั่งเศส

​                 นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอผลงาน และการเสวนาแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยผู้แทนองค์กรชั้นนำจากนานาประเทศ จำนวน 131 เรื่อง รวมทั้งการจัดกิจกรรมค่ายโครงการแข่งขันการพูดสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษ โครงการนวัตกรรมบูรณาการศาสตร์ หรือ KU..Innovation..และโครงการประชุมวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมระดับชาติของนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรี โดยมีนักวิชาการจากทั่วโลกนักเรียน และนักศึกษาผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 450 ราย


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  18 พฤศจิกายน 2567

ที่มา https://www.matichon.co.th/politics/news_4901203

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (บอร์ดสิ่งแวดล้อม) ครั้งที่ 3/2567  ณ ห้องประชุม 301ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาลโดย มีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. เป็นรองประธานกรรมการ และ นายประเสริฐ ศิรินภาพร เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว

นายประเสริฐ ได้ให้มอบนโยบายใน 5 ประเด็น คือ 1.ให้ความสำคัญกับภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม 2.ขอให้ ทส. และ มท. ดำเนินการเชิงรุก สร้างความรู้ความเข้าใจกับจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม 3.เตรียมความพร้อมสู่การบังคับใช้มาตรฐาน การระบายมลพิษทางอากาศจากรถยนต์เบนซินและดีเซลผลิตใหม่ตามมาตรฐานยูโร 6 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากรถยนต์ 4.การพิจารณารายงาน EIA ให้เป็นไปอย่างรอบคอบ ใช้ข้อมูลสำหรับโครงการนั้น ๆ ประเมินผลกระทบฯ และเน้นการรับฟังจากประชาชน และ 5.ขอให้ ทส.ให้ความสำคัญกับมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านมลพิษจากพลาสติก รวมทั้งสิ่งแวดล้อมทางทะเล

โดยที่ประชุมมีการเห็นชอบเรื่องที่สำคัญ 4 เรื่อง ดังนี้ 1.แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 รวม 43 จังหวัด 2.การเร่งรัดการบังคับใช้มาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากรถยนต์เบนซินผลิตใหม่ ตามมาตรฐานยูโร 6 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากรถยนต์ 3. โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) และ 4.ได้เห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม 5 โครงการ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  17 พฤศจิกายน 2567

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/royal/1153629

อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ครั้งที่ 1/2567 โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่ากทม. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมเปิดศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.)

โดยรองนายกฯ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการฯ หลังจากนายกรัฐมนตรีลงนามคำสั่ง เพื่อนำข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ซึ่งกำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งขับเคลื่อนมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 และให้นโยบายเน้นย้ำทุกหน่วยงานลดจุดความร้อนให้ได้ตามเป้าหมายทั้งในพื้นที่ 14 กลุ่มป่า และพื้นที่เกษตรโดยเฉพาะกลุ่มพืชสำคัญ โดยใช้กลไกความร่วมมือในทุกระดับเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนเพื่อลดจุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้าน ควบคุมฝุ่นในเมืองทั้งการตรวจจับและระงับการใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกิน ค่ามาตรฐาน ตรวจกำกับโรงงานอย่างเข้มงวด และต้องมีการสื่อสารประชาสัมพันธ์ ทั้งในภาวะปกติและเพิ่มความเข้มข้นในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะในระดับพื้นที่ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์กลางในการบัญชาการระดับจังหวัดและให้ข้อมูลเพื่อลดความตระหนกของประชาชน

ทั้งนี้ การประชุมในวันนี้ มีประเด็นพิจารณา ดังนี้ 1. ให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติให้เป็นไปตามปฏิทินการปฏิบัติงานภายใต้มาตรการรับมือสถานการณ์ ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 2. เห็นชอบในหลักการให้หน่วยงานที่มีความจำเป็นเสนอโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบกลาง ไปยังสำนักงบประมาณเป็นการเร่งด่วนเพื่อให้ทันต่อการดำเนินงานรับมือกับสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 ที่จะเกิดขึ้นในช่วง ม.ค. – พ.ค. 2568 3. แต่งตั้งคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการ 14 กลุ่มป่าเป้าหมาย เพื่อบัญชาการ เฝ้าระวัง ควบคุมไฟป่าและหมอกควันแบบไร้รอยต่อเขตป่าหรือเขตปกครอง และบูรณาการความร่วมมือของชุมชนรอบป่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และทหาร เน้นความปลอดภัย ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย 4. แต่งตั้งคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 กรุงเทพมหานคร เพื่อแก้ปัญหาในเขตเมือง 5. แต่งตั้งคณะทำงานสื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ เพื่อเน้นการสื่อสารประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทาง สร้างความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสุขภาพของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวด้วย


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  16 พฤศจิกายน 2567

ที่มา : สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย (https://www.efinancethai.com/sustainability/sustainability-main.aspx?release=y&name=st_202411150919)

ในยุคที่ทั่วโลก โดยเฉพาะภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ต่างให้ความสำคัญเรื่องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ด้วยการปรับตัวสู่การพัฒนาและการใช้พลังงานสะอาด ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพไปพร้อม ๆ กัน บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ผู้ดำเนินธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่เดินหน้าเอาจริงเอาจังกับการดูแลสิ่งแวดล้อมมาตลอดระยะเวลากว่า 32 ปี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยวิสัยทัศน์ “เป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจพลังงานอย่างยั่งยืน ด้วยความใส่ใจที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม” ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามกรอบ ESG เรามาดูกันว่า EGCO..Group..มีวิธีการดำเนินธุรกิจไฟฟ้า ผ่านโรงไฟฟ้ากว่า 40 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศ รวม 8 ประเทศ ด้วยกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 7,019 เมกะวัตด์ และธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน ได้อย่างไร

EGCO Group มีความเชื่อขององค์กรว่า “ต้นทางที่ดี จะก่อกำเนิดผลลัพธ์ปลายทางที่ดี“ โดยให้ความสำคัญกับการร่วมแก่ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกและดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ผ่านการกำหนดเป้าหมายมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ 3 ระยะ ได้แก่ – เป้าหมายระยะสั้น ภายในปี 2030 (พ.ศ.2573) EGCO Group ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการผลิดไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% (จากปัจจุบัน 21%) และลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ลง 10% จากการปรับปรุงโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีการนำไฮโดรเจนหรือแอมโมเนีย มาเป็นเชื้อเพลิงผสมในโรงไฟฟ้า (Hydrogen or Ammonia co-fring) และเพิ่มกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนศึกษาการใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture , Utilization and Storage – CCUS) ในโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่ พร้อมแสวงหาโอกาสลงทุนในเทคโนโลยีไฮโดรเจนตลอดห่วงโซ่อุปทาน – เป้าหมายระยะกลาง ภายในปี 2040 (พ.ศ.2583) บริษัทมีเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon..Neutral)..ทั้งจากการเพิ่มกำลังผลิดไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง และการเลือกใช้พลังงานทางเลือก โดยเฉพาะไฮโดรเจน ที่มีแผนจะดำเนิน ธุรกิจไฮโดรเจนตลอดห่วงโซ่อุปทานในเชิงพาณิชย์ รวมถึงขยายการใช้เทคโนโลยี..CCUS..ในโรงไฟฟ้าต่าง ๆ และตรวจวัด ชดเชย และรายงานการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างใกล้ชิด – เป้าหมายระยะยาว ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) การมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ คือการบรรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ผ่านการใช้เชื้อเพลิงสะอาด ควบคู่กับเทคโนโลยี CCUS ในโรงไฟฟ้าต่าง ๆ แบบ 100% และขยายธุรกิจไฮโดรเจนตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  15 พฤศจิกายน 2567

ที่มา https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_9503354

Taiwan Excellence นำทีมอาสาสมัครร่วมกิจกรรมตอบแทนสังคม (CSR) กับโครงการ Day of Giving โครงการที่เกิดขึ้นภายใต้นโยบายต้องการมีส่วนร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนที่ Taiwan Excellence เข้าไปมีส่วนร่วม

ประเทศไทย มีปริมาณขยะ 27 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยประมาณ 1.14 กิโลกรัม ต่อคน ต่อวัน Taiwan Excellence ตระหนักถึงปัญหาสำคัญที่เกิดจากปริมาณขยะจำนวนมากเหล่านี้ จึงริเริ่มโครงการ Day of Givingเพื่อสร้างการตระหนักรู้ถึงปัญหาขยะในประเทศไทย รวมทั้งสร้างความรู้ ความเข้าใจในวิธีการกำจัดขยะที่ถูกต้อง โดยแบ่งเป็น 2 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมทำมังกรน้ำ (ทุ่นดักขยะ) และกิจกรรมทำความสะอาดชายหาดและนำขยะทะเลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งทั้ง 2 กิจกรรมมีประชาชนสนใจตอบรับเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครจำนวนมากกว่า 100 คน

กิจกรรมทำมังกรน้ำ (ทุ่นดักขยะ) ในชุมชนวัดจากแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นการแก้ปัญหา ‘ขยะ’ ด้วย ‘ขยะ’โดยการสร้างกับดักขยะลอยน้ำ (มังกรน้ำ) จากวัสดุรีไซเคิลในชุมชน เช่น ขวดน้ำพลาสติกและโฟมที่ใช้แล้ว และผ้าจีวรทอจากพลาสติก เพื่อแก้ปัญหาขยะในลำคลองไหลลงสู่แม่น้ำ และลอยผ่านปากแม่น้ำลงสู่ทะเล ทุ่นดักขยะนี้ สามารถดักขยะได้มากกว่า 2 พันตันต่อปี และลดปริมาณขยะไหลลงสู่ทะเลได้มากถึงร้อยละ 30 ซึ่งขยะส่วนใหญ่ที่ดักได้เป็นถุงพลาสติกกว่า 98 ล้านชิ้น


NBT CONNEXT  14 พฤศจิกายน 2567

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการทำงานในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น นายเฉลิมชัยบอกว่า มี 2 ส่วนสำคัญ คือการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของประชาชน และการรักษาสมบัติของประเทศ ซึ่งทั้งสองส่วนนี้มีปัญหากระทบกันมากที่สุด จึงจะต้องทำให้เกิดความสมดุล  ดังนั้นจำเป็นต้องเร่งรัดออกที่ดินทำกิน เพราะเป็นความเดือดร้อนของประชาชนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน ไปพร้อมกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินการกับผู้กระทำผิดไม่มีละเว้น

สำหรับการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 นั้น ช่วงบ่ายวันนี้ ( 14 พ.ย. ) จะเชิญผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร , อธิบดีกรมการขนส่งทางบก , ตำรวจที่รับผิดชอบงานด้านการจราจร หารือร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา ย้ำว่าต้องแก้ไขให้ดีที่สุด และดำเนินการทันที

ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ลักลอบขนขโมยไม้พะยูงนั้น นายเฉลิมชัย บอกว่าขณะนี้จับได้แล้ว เนื่องจากมีมาตรการเด็ดขาด โดยเมื่อเกิดปัญหาได้ประสานงานกับส่วนที่เกี่ยวข้องทันที  พร้อมกับทำความเข้าใจกรณีไม้พะยูงที่อยู่ในกรมป่าไม้นั้น ไม่ได้ถูกนำไปจำหน่าย แต่ให้ส่วนราชการที่มีความจำเป็นไปใช้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย  ทั้งนี้ ขอไปดูระเบียบ เพราะแม้จะเปิดให้นำไปใช้ แต่การให้ใช้ประโยชน์ยังไม่ครอบคลุม ดังนั้นต้องมีการแก้ไขให้ใช้ได้มากขึ้น

นายเฉลิมชัย ยังฝากถึงวันลอยกระทงที่กำลังจะมาถึงว่า ขอให้ลอยกระทงแบบครอบครัวและ 1 กระทง  ที่สำคัญคือไม่ควรลอยในทะเล เพราะจะเกิดผลกระทบโดยตรงต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังควรใช้วัสดุที่ย่อยสลายง่าย ก็จะสามารถช่วยเรื่องธรรมชาติได้ด้วย


NBT CONNEXT  13 พฤศจิกายน 2567

       นางทัศนียาพร  ดวงแก้ว  ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุราษฎร์ธานี  กล่าวว่า  รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการสานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการ ซื้อขาย Carbon Credit โดยตั้งเป้าหมายว่าประเทศไทยจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 เพื่อลดผลกระทบจากภาวะโลกเดือด โลกรวน เพราะภัยธรรมชาติทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในทุกปี เช่นปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือของประเทศไทย โดยการส่งเสริมคาร์บอนเครดิตจึงถูกนำมาใช้กำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก อธิบายอย่างง่ายแล้ว คาร์บอนเครดิต คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด หรือกักเก็บ ได้จากการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิต สำหรับประเทศไทยสามารถดำเนินการได้ผ่านโครงการ T-VER  หรือ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER) ที่กำกับและดูแลโดย องค์การ บริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เช่น โครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ โครงการผลิตพลังงานความร้อนโดยใช้เชื้อเพลิงชีวมวล โครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน โครงการปลูกป่าไม้ และอนุรักษ์ป่า เป็นต้น ซึ่งต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และกระบวนการของแต่ละมาตรฐานในการทำโครงการ โดยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ อบก. ให้การรับรอง จะเรียกว่า “คาร์บอนเครดิต” สามารถนำไปซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยน และใช้ในกิจกรรมการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้      

      สำหรับก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases : GHGs) คือ กลุ่มก๊าซในชั้นบรรยากาศโลกที่สามารถกักเก็บและดูดกลืนคลื่นความร้อนหรือรังสีอินฟราเรด (Infrared) ที่ส่งผ่านลงมายังพื้นผิวโลกจากดวงอาทิตย์ได้ดี ก่อนทำการปลดปล่อยพลังงานดังกล่าวออกมาในรูปของความร้อน ซึ่งทำให้โลกเกิด “ภาวะเรือนกระจก” ที่สามารถช่วยรักษาสมดุลของอุณหภูมิพื้นผิวดาวเคราะห์ไว้ได้ แต่ในปัจจุบันมีก๊าซบางชนิดสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศมากเกินสมดุล ซึ่งก๊าซเหล่านี้สามารถดูดกลืนรังสีคลื่นยาวช่วงอินฟราเรดและคายพลังงานความร้อนได้ดีพื้นผิวโลกและชั้นบรรยากาศ จึงมีอุณหภูมิสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศของโลก และสิ่งมีชีวิตพื้นผิวโลก.


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  12 พฤศจิกายน 2567

ที่มา https://www.dailynews.co.th/news/4068382/

‘บริษัท ซาบีน่า จำกัด’ (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ ‘ซาบีน่า’ (SABINA) ร่วมมือกับบริษัท ซิมเปิ้ล รีไซเคิล จำกัด ผู้นำธุรกิจรับซื้อและส่งต่อขยะรีไซเคิลใน จ.ยโสธร เปิดตัว ‘โครงการธนาคารขยะ’ณ โรงงานซาบีน่า จ.ยโสธร โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกให้พนักงานตระหนักถึงความสำคัญของการแยกขยะ และส่งเสริมการนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ ด้วยการเปลี่ยนขยะรีไซเคิลให้เป็นรายได้เพิ่มแก่พนักงาน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

โดยเริ่มจากการสร้างจิตสำนึกในการคัดแยกขยะ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทุกคนสามารถทำได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อลดปริมาณขยะที่ถูกฝังกลบ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะ นอกจากนี้ การนำขยะรีไซเคิลมาแลกเปลี่ยนเป็นรายได้ ยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โรงงานยโสธร ซึ่งเป็นโรงงานหลักของบริษัทฯ จึงได้รับเลือกให้เป็นโรงงานนำร่องในการดำเนินโครงการนี้ เพื่อขยายผลไปสู่โรงงานอื่นๆ ต่อไป


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.