• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  2 กรกฎาคม 2567

ที่มา: https://www.chiangmainews.co.th/social/3361373/

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เป็นประธานร่วมในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ “การบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสาขาสาธารณสุข ภายใต้แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ” เสริมสร้างความร่วมมือและเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมี นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงอัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล อธิบดีกรมอนามัย ผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมงาน

พล.ต.อ.พัชรวาท ทส. ให้ความสำคัญกับการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชน จึงได้มีความร่วมมือกับ สธ. เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านสาธารณสุขอย่างเป็นรูปธรรม สร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพของประเทศไทย ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในทุกพื้นที่ รวมถึงการลดและป้องกันการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของประชาชนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้ยังแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการบูรณาการการดำเนินงานของทั้งสองกระทรวง

ด้าน นายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกพบว่า มีประชากร 3,600 ล้านคน อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และคาดว่าในช่วงปี พ.ศ. 2573 – 2593 จะมีผู้เสียชีวิตจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มขึ้นประมาณ 250,000 คนต่อปี ซึ่ง สธ. ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มกำลังในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งในระดับนานาชาติ ตามนโยบายขององค์การอนามัยโลกและในระดับประเทศ โดยผลักดันนโยบายและแผนปฏิบัติการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านสาธารณสุข พ.ศ. 2564 – 2573 รวมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการพัฒนาระบบการให้บริการสุขภาพ เมื่อเผชิญกับภัยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนและชุมชนสามารถจัดการความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยและโลกใบนี้อย่างยั่งยืนต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  1 กรกฏาคม 2567

ที่มา : THE BANGKOK INSIGHT (https://www.thebangkokinsight.com/news/environmental-sustainability/1347091/)

“พัชรวาท” เคาะประกาศ กำหนดแนวเขตพื้นที่-มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเล 2 พื้นที่ หมู่เกาะสีซัง ชลบุรี และ พื้นที่ตำบลเกาะสาหร่าย สตูล

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ (กทช.) ครั้งที่ 2/2567 โดยที่ประชุม ได้รับทราบรายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่ง ในพื้นที่ 24 จังหวัด ชายฝั่งทะเล รอบ 4 เดือน (กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2567 แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ป้าชายเลนและป้าชายหาด รวมทั้งรายงานผลการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล ครั้งที่ 81 รายงานผลการประชุมวิชาการนานาชาติ ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ครั้งที่ 1 และการประชุมระดับภูมิภาคทศวรรษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยมหาสมุทร ครั้งที่ 2 พร้อมทั้งมีมติประชุม ที่สำคัญ อาทิ การเห็นชอบ (ร่าง) รายงานสถานการณ์ ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ พ.ศ. 2566 ซึ่งมีประเด็นปัญหาเร่งด่วน ได้แก่ ความเสื่อมโทรมของคุณภาพน้ำและการกัดเซาะชายฝั่ง ในพื้นที่อ่าวไทยตอนใน และการระบาดของปลาหมอสีคางดำ ออกประกาศกำหนดเขต-คุ้มครองทรัพยากรทางทะเล 2 พื้นที่ โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก่ไขปัญหารวมกันอย่างบูรณาการทั้งในระดับจังหวัดและระดับพื้นที่ ผ่านกลไกการมีส่วนร่วม รวมทั้งเห็นชอบการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดแนวเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 มาตรา 22 ใน 2 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่หมู่เกาะสีซัง อำเภอเกาะสีซัง จังหวัดชลบุรี และพื้นที่ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมือง จังหวัดสตูล อาทิ การห้ามทำให้เกิดมลพิษ ห้ามเททิ้งขยะ ห้ามทิ้งสมอเรื่อ ห้ามสร้างสิ่งปลูกสร้างใด ๆ บริเวณแนวปะการัง ห้ามนำและใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่เป็นอันตรายต่อปะการัง ห้ามการขุด การถมทะเล หรือการขุดลอกร่องน้ำ และห้ามเก็บหรือขนย้ายเปลือกหอยทุกประเภทบนเกาะหอขาว เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและการพัฒนาเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและ กทช. อย่างเร่งด่วน ติดตามความก้าวหน้าการแก่ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลให้กลับมาสมบูรณ์ต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  30 มิถุนายน 2567

ที่มา https://www.prachachat.net/general/news-1595439

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงสิ่งแวดล้อม กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงมุ่งมั่นผลักดันโครงการนำขยะพลาสติกมาเป็นส่วนผสมในแอสฟัลต์คอนกรีต พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางถนนให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ ลดการใช้พลังงาน และการนำวัสดุเดิมกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์

โครงการดังกล่าวจะสามารถช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกประเภทบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วที่ไม่มีราคา และย่อยสลายได้ยากให้เกิดประโยชน์ ซึ่งสามารถลดปริมาณขยะพลาสติกลงได้เฉลี่ย 5 ตัน ต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร อีกทั้งยังจะช่วยส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนในการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี เพื่อนำขยะพลาสติกมาใช้เป็นส่วนผสมในการก่อสร้างถนน

ปัจจุบัน ทช. โดยสำนักวิเคราะห์ วิจัยและพัฒนา ได้ดำเนินโครงการถนนทดลอง ตั้งแต่ปี 2562-2566 ไปแล้วจำนวน 4 สายทาง ระยะทางรวม 6.2 กิโลเมตร สำหรับปี 2567 ทช. มีแผนที่จะดำเนินโครงการบำรุงรักษาทางหลวงชนบทสาย นม.3140 แยก ทล.226-ทางเข้าท่าอากาศยานนครราชสีมา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  29 มิถุนายน 2567

ที่มา: https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_777777797230

ทส. มอบประกาศเกียรติคุณแก่เยาวชน ภายใต้โครงการ “สร้างสรรค์พัฒนาสังคม ร่วมรณรงค์รักษ์สิ่งแวดล้อมไทย” ครั้งที่ 4 เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมไทย ปี 2567 โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับสภาองค์กรเยาวชนสร้างสรรค์พัฒนาสังคม ซึ่งมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นประธาน และนายวรวุฒิ อุตสาแท้ ประธานสภาองค์กรเยาวชนสร้างสรรค์พัฒนาสังคม กล่าวรายงานความเป็นมาของโครงการ

โดยการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณครั้งนี้ ประกอบด้วย

1. กิจกรรมเชิดชูเกียรติเยาวชนต้นแบบด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

2. กิจกรรมแข่งขันวาดภาพระบายสี หัวข้อ “เยาชนสร้างสรรค์พัฒนาสังคม ร่วมรณรงค์รักษ์สิ่งแวดล้อม”

3. กิจกรรมการแข่งขันโครงงานการเรียนรู้ตามศาสตร์พระราชา ด้านการพัฒนา

4. กิจกรรมการแข่งขันประกวดคลิปวีดีโอ หัวข้อ “ยุวชนอาสารักษ์สิ่งแวดล้อมสร้างโลกยิ้ม พลังงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  28 มิถุนายน 2567

ที่มา : MGR Online (https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9670000054737)

        การขับเคลื่อนของกทม. “จัดการขยะเศษอาหาร” ที่ต้นตอ หรือแหล่งกำเนิด ตั้งแต่ต้นปีนี้ เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น ผ่านกลไก Green Partnership ในโครงการ “ไม่เทรวม” โดยเฉพาะการเข้าไปรุกที่ศูนย์การค้า และร้านอาหารทั่วกรุง ล่าสุดคงเห็นได้จากความร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัล และการเข้าร่วมของร้านอาหารมีชื่อกว่าพันแห่งทั้ง 50 เขต

        นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการไม่เทรวม ว่า กทม. ให้ความสำคัญกับการลดขยะตั้งแต่ต้นทาง คัดแยก และนำไปใช้ประโยชน์ ควบคู่กับการรณรงค์ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการขยะ ณ แหล่งกำเนิด ตามนโยบายสร้างต้นแบบการแยกขยะต่อยอดให้การแยกระดับเขตสมบูรณ์ครบวงจรเกิดผลเป็นรูปธรรมและลดปริมาณมูลฝอยเศษอาหารที่ถูกทิ้งรวมมากับมูลฝอยทั่วไป “ในปีงบประมาณ 2567 กทม. ตั้งเป้าลดขยะให้ได้ 200 ตัน/วัน และเพิ่มขึ้นในปี 2568 เป็น 500 ตัน/วัน ปี 69 จำนวน 1,000 ตัน/วัน สำหรับในปีนี้มีหน่วยงานที่เข้าร่วม แบ่งเป็น ตลาด 184 แห่ง แยกเศษอาหารได้ 76 ตัน/วัน สถานศึกษา 457 แห่ง แยกเศษอาหารได้ 19.4 ตัน/วัน ห้างสรรพสินค้า114 แห่ง แยกเศษอาหารได้ 23.3 ตัน/วัน และโรงแรม 136 แห่ง แยกเศษอาหารได้ 17.7 ตัน/วัน โดยในปีที่ผ่านมา (2566) พบว่าจำนวนขยะลดลงจากปี 2565 เฉลี่ย 204 ตัน/วัน หรือ 74,460 ตัน/ปี หรือคิดเป็นเงิน 141,474,000 บาท สำหรับในเฟสต่อไปต้องดึงประชาชนมาเข้าร่วมโครงการให้มากขึ้น โดยใช้มาตรการทางด้านเศรษฐศาสตร์ หรือภาษี ค่าธรรมเนียม และต้องทำให้เห็นว่าเมื่อแยกขยะแล้ว กทม.ก็ไม่เทรวม” ปัจจุบันนี้มีร้านอาหารทั้งหมด 1,059 แห่ง (เฉพาะร้านเดี่ยว ไม่รวมที่อยู่ในห้าง) ใน กทม. ที่ร่วมโครงการ ‘ไม่เทรวม’ และรวมกันแล้วสามารถแยกขยะเศษอาหารได้วันละ 39,581 กิโลกรัม (หรือวันละเกือบ 40 ตัน)ที่ผ่านมาจะเป็นแหล่งกำเนิดใหญ่ๆ ที่ทำเรื่องคัดแยกได้ดี แต่ข้อมูลนี้พบว่าร้านเล็กๆ น้อยๆ ก็ร่วมกัน ทำให้เราสามารถแยกและลดขยะไปกำจัดได้อย่างมาก ในภาพรวมปัจจุบันเราสามารถแยกเศษอาหารได้แล้ววันละ 277 ตัน หรือรวมทั้งหมด 8,587 ตัน ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่วันละ 200 ตัน สำหรับร้านอาหาร 1,059 แห่งนี้ เราสามารถแบ่งวิธีการจัดการเศษอาหารได้ด้วย เช่น สำนักงานเขตจัดเก็บและนำไปใช้ประโยชน์ (ทำปุ๋ย/น้ำหมัก/ส่งเกษตรกร) 23.6%, สำนักงานเขตประสานเกษตรกรมารับตรงที่ร้าน 76% และร้านทำปุ๋ยหมักเอง 0.4% เมื่อร้านเหล่านี้แยกเศษอาหารแล้ว (ซึ่งยากที่สุด) ขยะที่เหลือที่เป็นขยะแห้งส่วนมากก็ขายได้ โดยเราก็เชื่อมให้ร้านรู้จักผู้รับซื้อที่เป็นภาคี กทม. เพื่อเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และปัจจุบันยังมีภาคีหลายเจ้าที่พร้อมรับขยะกำพร้า (มูลค่าต่ำ เช่น ถุงแกง ซองขนม และซองกาแฟ) ได้ทำเป็นเชื้อเพลิงต่อด้วย “พูดได้เลยว่าวันนี้ขยะทุกชิ้นมีทางไปแล้วถ้าเราจัดการอย่างถูกวิธี”


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  27 มิถุนายน 2567

ที่มา https://pr-bangkok.com/?p=346105

นายต่อศักดิ์ โชติมงคล ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการดำเนินความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครกับกรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้ โดยเล็งนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมจากทั้ง 2 เมือง มาพัฒนางานของกรุงเทพมหานครให้ดียิ่งขึ้น ในการนี้ นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร นายศุภกฤต บุญขันธ์ และนายสมบูรณ์ หอมนาน รองปลัดกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยผู้บริหารสำนักสิ่งแวดล้อม สำนักการจราจรและขนส่ง สำนักงานการต่างประเทศ และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร

สำหรับความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครกับกรุงปักกิ่ง จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ PM2.5 ซึ่งผู้แทนกรุงปักกิ่งมีกำหนดเยือนกรุงเทพมหานครในเดือนสิงหาคม ส่วนความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครกับนครเซี่ยงไฮ้ จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจราจร ซึ่งผู้แทนนครเซี่ยงไฮ้มีกำหนดศึกษาดูงาน ณ สำนักการจราจรและขนส่ง ในวันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน นี้


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  26 มิถุนายน 2567

ที่มา: https://www.prachachat.net/politics/news-1593627

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ได้สั่งการให้กระทรวงคลัง (กค.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พิจารณาพื้นที่โครงการประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ เนื่องจากพระราชดำริสวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติศรีนครเขื่อนขันธ์ ที่อยู่บริเวณคุ้งบางกระเจ้า จ.สมุทรปราการ เป็นพื้นที่นำร่อง Sandbox ในการประกาศหลักเกณฑ์คุ้มครองพื้นที่ป่าและคุ้มครองพื้นที่สิ่งแวดล้อมให้ได้รับการยกเว้นจากการเก็บภาษีที่ดินและสั่งการให้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คุ้งบางกระเจ้า เพื่อนำมาเสนอ ครม. ต่อไป

ด้านนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข้อสั่งการนายเศรษฐา ทวีสิน ในที่ประชุม ครม. ในโครงการประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติศรีนครเขื่อนขันธ์ หรือคุ้งบางกระเจ้า อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งหลังจากนายกฯ ลงตรวจพื้นที่ดังกล่าว นายกฯได้สั่งการว่า ขอให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ร่วมกันพิจารณาให้พื้นที่คุ้งบางกระเจ้าเป็นพื้นที่นำร่อง หรือ Sandbox ในการประกาศหลักเกณฑ์คุ้มครองพื้นที่ป่า และพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ให้ได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนให้เพิ่มพืชพรรณอันเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ในบัญชีแนบท้ายของประกาศกระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย เรื่องหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์เกษตรกรรม นอกจากนี้ ขอให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนองค์การบริหารพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ให้ร่วมกันจัดทำแผนยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนคุ้งบางกระเจ้า และนำเสนอต่อ ครม.พิจารณาให้สนับสนุนการทำงานขององค์การบริหารพัฒนาพื้นที่พิเศษให้เกิดเป็นรูปธรรมตามนโยบายของรัฐบาล


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  25 มิถุนายน 2567

ที่มา : กรมประชาสัมพันธ์ (https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/31/iid/300188)

1. ใช้ผ้าแทนกระดาษทิชชู : เพื่อเป็นการลดจำนวนขยะที่เพิ่มขึ้นจากทรัพยากรสิ้นเปลือง

2. ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก : ช่วยทั้งด้านการลดขยะและลดโลกร้อน เพราะถุงผ้าเป็นทรัพยากรที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้หลายครั้ง

3. แยกขยะให้ถูกประเภทก่อนทิ้ง และทิ้งให้ลงถังเสมอ : ข้อดี คือ ช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปกำจัดน้อยลง และสามารถนำขยะสดจำพวกเปลือกผลไม้มาแปรรูปเป็นปุ๋ยให้แก่ต้นไม้ได้อีกด้วย

4. ช่วยกันปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว : ปัจจุบันนี้ต้นไม้ถูกตัดถอนไปจำนวนมาก ทำให้ปริมาณพื้นที่สีเขียวบนโลกลดน้อยลง การปลูกต้นไม้จึงช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวและเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้มีใช้กันอย่างเพียงพอกับทุกชีวิต

5. ทานอาหารให้หมดจาน : ขยะจากอาหารถูกทิ้งให้เป็นขยะรอวันเน่าเสีย กลายเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศถึง 8% ในประเทศไทยมีขยะอาหารคิดเป็น 64% ของขยะทั้งหมด ยิ่งเรากินอาหารเหลือเยอะการสร้างก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศจะมากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว การปรับพฤติกรรมเล็กๆ ที่สร้างได้ด้วยตัวเองที่บ้านก็มีส่วนช่วยลดโลกร้อนได้แล้ว

6. ไม่เปิดน้ำและไฟทิ้งไว้ : เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับทุกคนทั้งในครัวเรือน หรือในระดับองค์กร ช่วยประหยัดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติโดยการใช้เท่าที่จำเป็น ใช้อย่างคุ้มค่า และกำจัดการใช้ที่ไม่จำเป็นหรือมีแนวโน้มที่จะสูญเปล่า

7. ไม่เผาขยะและเศษไม้เศษหญ้า : เพื่อป้องกันฝุ่นละออง และการเกิดสารพิษที่เรียกว่าไดออกซินในปริมาณที่เป็นอันตราย สารไดออกซินเป็นสารเคมีที่มีพิษสูง เมื่อหลุดสู่บรรยากาศจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งเพราะจะปล่อยสารไดออกซิน และมลพิษต่าง ๆ ในระดับที่ไม่สูงจากพื้นดิน ทำให้ผู้คนสูดดมเข้าสู่ร่างกายและตกค้างอยู่บนพืชผลเกษตรกร หรือในแหล่งน้ำได้

8. ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า : เนื่องจากป่าไม้เป็นแหล่งการหมุนเวียนของสารระหว่างออกซิเจน, คาร์บอนไดออกไซด์, น้ำและสารอื่นๆ ในระบบนิเวศที่สำคัญ การทำลายป่าจึงมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น จนเกิดภาวะเรือนกระจกซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น

9. รักษารถยนต์ด้วยการเปลี่ยนไส้กรอง : เพื่อช่วยลดปัญหาการเกิดควันดำเนื่องจากไส้กรองอากาศที่สกปรกจะทำให้การไหลของอากาศที่สะอาดทำได้น้อยลง มีผลต่อการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ด้วย

10. ไม่ทิ้งของเสียลงแม่น้ำ : เป็นการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ให้ถูกทำลายจากความมักง่ายของผู้คน รวมไปถึงการช่วยควบคุมและป้องกันของเสียให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.