• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

ข่าวสิ่งแวดล้อม

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  26 เมษายน 2567

ที่มา : Mcot.net Digital (https://www.mcot.net/view/1KFdfthm)

          24 เม.ย.67 – พบครั้งแรกในไทย กรมอุทยานแห่งชาติฯ เผยค้นพบผึ้งหลวงหิมาลัยเป็นครั้งเเรกในประเทศไทย (New record) บ่งชี้มีความสำคัญต่อภาพรวมของความหลากหลายทางชีวภาพ

ประเทศไทยมีข่าวดีอีกแล้ว เมื่อนายทรงเกียรติ ตาตะยานนท์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นประธานแถลงข่าวถึง “การค้นพบผึ้งหลวงหิมาลัยครั้งแรกในประเทศไทย” มาพร้อมกับทีมนักวิจัย นายอิสราพงษ์ วรผาบ นักกีฏวิทยาชำนาญการ (กรมอุทยานแห่งชาติฯ) นายนนธวัช ฉัตรธนบูรณ์ ดร.ชวธัช ธนูสิงห์ และ ผศ.ดร.ณัฐพจน์ วาฤทธิ์ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ร่วมศึกษาผึ้งหลวงหิมาลัย ซึ่งที่ผ่านมาเคยพบเฉพาะในแนวเทือกเขาหิมาลัยของเนปาลและอินเดีย

นายทรงเกียรติ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ บอกว่า ผึ้งหลวงหิมาลัย หรือ ApislaboriosaSmith , 1871 ที่พบในครั้งนี้ อยู่ในบริเวณหน้าผาสูงของอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ พบเจอตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อยู่ในช่วงเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่ชัดของตัวผึ้งหลวงหิมาลัย ซึ่งผึ้งหลวงหิมาลัยเป็นผึ้งหลวงอีกชนิดนอกเหนือจากผึ้งหลวงทั่วไป หรือ Apis dorsataFabricius, 1793 ที่เราสามารถพบเห็นได้ในทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยมีการสร้างรังที่ขนาดใหญ่เป็นคอนเดี่ยว ลักษณะที่แตกต่างที่สำคัญของผึ้งหลวงหิมาลัย ได้แก่ ปล้องท้องที่มักมีสีดำสนิท และขนรอบบริเวณปล้องอกที่มีสีเหลืองทอง ผึ้งหลวงหิมาลัยสามารถพบในบริเวณภูเขาสูงตั้งแต่ <1,000 -4,500+ เมตรจากระดับน้ำทะเลและในพื้นที่มีอากาศเย็น (< 25°C) และยังเป็นแมลงผสมเกสรที่สำคัญและจำเพาะต่อสังคมพืชในระบบนิเวศที่สูง  “นอกจากนี้เป็นที่ทราบกันดีในวงการผู้เลี้ยงผึ้งและศึกษาผึ้งทั่วโลกว่าน้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งหลวงหิมาลัยในประเทศอินเดียและเนปาล มีคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีที่แตกต่างจากน้ำผึ้งจากผึ้งหลวงทั่วไปและผึ้งชนิดอื่น ๆ ในธรรมชาติ และเป็นที่ต้องการอย่างสูงในตลาด”  อย่างไรก็ตามข้อมูลเหล่านี้จำเป็นที่ต้องได้รับการศึกษาเพิ่มจากผึ้งหลวงหิมาลัยที่พบในประเทศไทยต่อไป การค้นพบในครั้งนี้ เป็นตัวชี้วัดที่มีความสำคัญต่อภาพรวมของความหลากหลาย  ทางชีวภาพและทรัพยากรสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่สูงภายในประเทศไทย ที่กำลังถูกรุกรานจากการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของผึ้งชนิดต่าง ๆ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แต่ก็ยังสามารถพบผึ้งหลวงหิมาลัยในประเทศไทยได้ ทั้งนี้ ผึ้งหลวงหิมาลัยที่พบยังเป็นผึ้งให้น้ำหวานในสกุล Apis..ชนิดที่ 5 ของประเทศไทย จากเดิมที่มีรายงานอยู่เพียง 4 ชนิด คือ ผึ้งหลวง (Apis.dorsata).ผึ้งมิ้ม (Apis..florea).ผึ้งม้าน (Apis..andreniformis)..และผึ้งโพรง (Apiscerana) ซึ่งไม่รวมผึ้งพันธุ์ (Apismellifera) ที่เป็นผึ้งสายพันธุ์ต่างถิ่น


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  25 เมษายน 2567

ที่มา https://www.dailynews.co.th/news/3373133/

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข นายชื่นชอบคงอุดม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนายประเสริฐ ศิรินภาพร เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยสาระสำคัญในที่ประชุมได้มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมจังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2563 ออกไปอีก 2 ปีเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างการบังคับใช้ของกฎหมายและรับทราบความก้าวหน้าการยกระดับการปฏิบัติการในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในช่วงสถานการณ์วิกฤต ประจำปี 2567 ขณะเดียวกันได้มีการรายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทยปี 2566 การดำเนินงานกรณีการขนย้ายและจัดการกากอุตสาหกรรมที่ปนเปื้อนแคดเมียม จากจังหวัดตาก

ทั้งนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์สารเคมีในปัจจุบันว่า เนื่องจากมีเหตุของการเผาไหม้และทำลายสารเคมีเกิดขึ้นต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ สร้างความตื่นตระหนกและส่งผลกระทบต่อประชาชน ดังนั้นจึงขอให้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม จัดการดูแลโรงงานที่เก็บกากของเสียอุตสาหกรรมและสารอันตรายต่างๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย และขอให้ยกระดับมาตรการ การตรวจสอบสารเคมีของแต่ละโรงงานอย่างเข้มงวด ส่วนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ ให้ติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างละเอียดและเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างเต็มที่

ประชุมได้ให้ความเห็นชอบให้มีการจัดตั้งอนุกรรมการประจำจังหวัด เพื่อร่วมตรวจสอบสารเคมี นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ๘ โครงการ โดยกำชับให้เจ้าของโครงการ ทั้ง 8 โครงการ ต้องดำเนินการตามมาตรการฯ ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  24 เมษายน 2567

ที่มา: https://www.thansettakij.com/news/general-news/594128

กรุงเทพมหานคร เชิญชวนเหล่าพ่อบ้าน แม่บ้าน พ่อค้า แม่ขาย ร้านรวง Street Food ร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมง่าย ๆ เพียงนำน้ำมันใช้แล้ว มาแลกน้ำมันขวดใหม่ฟรีในกิจกรรม “น้ำมันใช้แล้ว แลกน้ำมันใหม่” ทุกวันพุธ สิ้นเดือน บริเวณชั้น บี 1 ฝั่งอาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 เขตดินแดง ตั้งแต่เวลา 11.00-14.00 น.

น้ำมันจากการประกอบอาหารที่ใช้แล้ว ถือเป็นขยะอันตรายที่ไม่ควรทิ้งลงท่อระบายน้ำ การกำจัดน้ำมันเก่าโดยไม่ถูกวิธีจะสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ทั้งยังก่อให้เกิดคราบน้ำมันในท่อ ส่งผลให้เกิดคราบไขมันเกาะตัวกันเป็นก้อนไขมันอุดตันท่อระบายน้ำ ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมได้ ซึ่งการนำน้ำมันเก่าไปรีไซเคิลและนำมาผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) หรือ SAF จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (used cooking oil) ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมการบิน โดยมีส่วนร่วมได้ง่าย ๆ เพียงทำตาม เก็บน้ำมันที่ใช้แล้วให้เรียบร้อย และนำน้ำมันที่ใช้แล้วมาแลกน้ำมันขวดใหม่ทุกวันพุธ สิ้นเดือน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  23 เมษายน 2567

ที่มา : Today.line.me  (https://today.line.me/th/v2/article/j7mzNJg)

จากกรณีวันที่ 21 เมษายน 67 ผศ.ดร.ธรณ์ ธรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ขอต้อนรับเพื่อนธรณ์สู่ประสบการณ์โลกเดือด แม้เอลนิโญใกล้จบ แต่ความร้อนยังไม่จบ บวกกับโลกร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น นี่คือโลกเดือด!“ โดยผศ.ดร.ธรณ์ อธิบายว่า ปริมาณฝนสะสมในอีก 3 วันข้างหน้า ดำสนิทเกือบทั้งประเทศ หมายถึง แทบไม่มีฝนจริงจังเลย ยกเว้นภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งฝนที่มาในช่วงนี้ก็ต้องระวัง ลมแรง ตกหนัก ฟ้าผ่า ไฟดับ น้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่เล็กๆ เป็นฝน โลกร้อน ทะเลร้อน น้ำระเหยเยอะ อากาศร้อน เมฆจุไอน้ำได้เยอะขึ้น สำหรับพื้นที่อื่น โลกจะเดือด ต่อไป ร้อน แล้ง แห้ง แถมบางพื้นที่อาจมีฝนซ้ำเติมคนที่ทำมาหากินแบบพึ่งพาธรรมชาติ ทำสวน ทำประมง เลี้ยงสัตว์บก/สัตว์น้ำ ต้องระวังให้หนัก เพราะฝนยังไม่มา อุณหภูมิยังไม่ลดทางแก้หรือครับ ? ยากมากๆ เพราะเราทำร้ายโลกมาถึงตอนนี้ นับร้อยปีที่ก๊าซเรือนกระจกสะสมบนฟ้า ทะเลช่วยดูดซับความร้อนไว้ แต่ตอนนี้ทะเลบอกไม่ไหวแล้ว มันจึงมาถึงจุดที่ต้องบอกว่า ต้องหาทางรอด ปรับตัวเท่าที่ทำได้โลกเดือดยังส่งผลต่อเศรษฐกิจรุนแรง มั่งความแปรปรวนของลมฟ้าท้องน้ำ เรื่อยไปจนถึงภัยพิบัติ ทั้งพูดทั้งเขียนเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว หวังว่าเพื่อนธรณ์คงเข้าใจ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  22 เมษายน 2567

ที่มา : https://www.nationtv.tv/gogreen/378942825

วันที่ 22 เมษายน ของทุกปี “วันคุ้มครองโลก” ได้รับการประกาศจาก โครงการสิ่งแวดล้อมสหประชาชาติ (United Nations Environment Program “UNEP”) ตั้งแต่พ.ศ. 2513 โดยทั่วโลกจะจัดกิจกรรมวันคุ้มครองโลกเป็นประจำทุกปี

ประเทศไทย ได้มีจัดกิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเช่นกัน โดยเริ่มจากการรณรงค์วันคุ้มครองโลก ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยโรงเรียนสอนภาษาสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ ปี พ.ศ. 2533 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในประเทศไทย อันเป็นผลจากการเสียชีวิตของสืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง นักวิชาการ และนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองในวันที่ 1 ก.ย.2533 ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศไทยมีการตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างมาก

คณะอาจารย์และนักศึกษาจาก 16 สถาบัน ได้ร่วมกันจัดงานวันคุ้มครองโลกขึ้นจากนั้นเป็นต้นมาจึงได้มีการรณรงค์อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้คนและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลกระทบอันร้ายแรงจากการกระทำของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  21 เมษายน 2567

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/environment/1122739

นางชัยลดา ตันติเวชกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC เปิดเผยว่า สหพัฒน์ รวมพลังความร่วมมือของภาคธุรกิจ ภาคสังคม และภาคชุมชน ได้แก่ วัดจากแดง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) (OSP) และ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) (PRINC) ร่วมเดินหน้าโครงการ “สถานีขยะล่องหน รวมพลังมหาชุมชน คุ้งบางกะเจ้า” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยยังคงมุ่งสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องการบริหารจัดการขยะ ดูแลสิ่งแวดล้อมของชุมชน ณ บริเวณคุ้งบางกะเจ้า

สำหรับปีนี้ แคมเปญได้เปิดรับประเภทขยะเพิ่มขึ้น ได้แก่ ถุงวิบวับ หรือซองบรรจุภัณฑ์เรียกว่า Multi – Layer Plastic เพิ่มเติม ซึ่งวัดสามารถนำมาผ่านกระบวนการแยกเป็นเชื้อเพลิง และอะลูมิเนียมเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สหพัฒน์พร้อมร่วมมือกับทางโครงการเพิ่มคะแนนในส่วนของถุงวิบวับเข้ามา เพื่อให้คนในชุมชนได้แยกขยะเพิ่มขึ้น และได้แลกสินค้าของสหพัฒน์ที่จัดจำหน่ายไปใช้ ทางโครงการก็สามารถนำซองขยะประเภทนี้ได้มีทางไปต่อ และใช้เกิดประโยชน์สูงสุดจากขยะกำพร้า สู่ขยะล่องหน

นอกจากนี้ ยังมีการปรับสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของชาวบ้านเพื่อช่วยลดค่าครองชีพ นับว่ามีผลตอบรับที่ดี ชุมชนมีจิตสำนึก และเริ่มทำเป็นนิสัย ได้เห็นพัฒนาการ และผลลัพธ์ทางสังคม และสิ่งแวดล้อมในคุ้งบางกะเจ้าทั้งด้านปริมาณขยะที่ชุมชนคัดแยก และส่งมายังวัดจากแดงเพิ่มขึ้นทุกปี สำหรับจำนวนขยะที่เข้ามาแลกสินค้าของสหพัฒน์เพิ่มมากขึ้น เป็นไปตามเป้าหมายของโครงการที่มุ่งสร้างความแข็งแรงให้กับชุมชน โดยสหพัฒน์มีการเดินสายเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการแยกขยะ และแยกถุงวิบวับโดยเฉพาะ เพื่อส่งมาที่วัดจากแดงก่อนเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลต่อไป ซึ่งในอนาคตทางสหพัฒน์มีแผนจะขยายโครงการออกไปเนื่องจากมองว่ามีประโยชน์ต่อคนในชุมชน ทำให้ชุมชนแข็งแรงมีจิตสำนึกที่ดีและเกิดความร่วมมือร่วมใจของคนในพื้นที่

สำหรับผลการดำเนินงาน “สถานีขยะล่องหน รวมพลังมหาชุมชน คุ้งบางกะเจ้า” ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่งเสริมการบริหารจัดการขยะในคุ้งบางกะเจ้ารวม 378,759 กิโลกรัม ลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 341,559 kgCO2e เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 37,951 ต้น และในปี 2567 มีเป้าหมายว่าโครงการจะสามารถขับเคลื่อนให้ชุมชน หน่วยงาน ร้านค้า จัดการคัดแยกขยะได้ 500,000 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นกว่า 40% จากปีก่อน


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  20 เมษายน 2567

ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์  (https://www.dailynews.co.th/news/3353442/)

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือทส. ได้แนะนำการบริหารจัดการขยะที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า ส่วนใหญ่จะเป็นขยะอาหารรองลงมาเป็นขยะบรรจุภัณฑ์ ขยะทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นขวดนํ้าพลาสติก ถุงขนม กล่องใส่อาหาร ซองพลาสติกบรรจุของอุปกรณ์เล่นนํ้าสงกรานต์ ซึ่งการจัดการขยะในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดไม่ได้มีมาตรการรองรับหรือรณรงค์ให้ประชาชนป้องกันไม่ให้เกิดขยะตั้งแต่ต้น เช่น การไม่นำขยะเข้ามาภายในงาน นำเฉพาะอุปกรณ์มาเล่นนํ้าเท่านั้น หรือการลดการเกิดขยะโดยใช้ภาชนะที่สามารถใช้ซํ้าได้ และเตรียมภาชนะในการคัดแยกขยะวางไว้จุดต่าง ๆ เพื่อสะดวกในการรวบรวม เป็นต้น จะส่งผลให้มีปริมาณขยะจำนวนมากปะปนกันซึ่งจะเป็นภาระกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเองในการเก็บรวบรวม ขนส่งและกำจัด ทั้งนี้ เมื่อเกิดเป็นขยะแล้วองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่มีการจัดงานควรดำเนินการ ดังนี้

1.ทำความสะอาด และขนย้ายขยะทั้งหมดไปยังสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยทันทีภายหลังการจัดงาน

2.คัดแยกขยะที่ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ อันได้แก่ ขยะรีไซเคิลหรือขยะบรรจุภัณฑ์ เพื่อนำไปทำความสะอาดและจำหน่ายกับร้านรับซื้อของเก่าเพื่อลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปกำจัด

3.กรณีที่สถานที่จัดงานที่มีการแยกโซนอาหารหรือแยะขยะอาหารให้นำขยะอาหารไปใช้ประโยชน์ เช่น อาหารสัตว์ ปุ๋ยหมัก นํ้าหมัก เป็นต้น

4.นำขยะที่เหลือจากการคัดแยกและใช้ประโยชน์แล้วไปกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการต่อไปหากมีมาตรการรองรับในการจัดการกับขยะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่เหมาะสมจะช่วยลดปริมาณขยะและสามารถนำขยะไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเสียเวลาหรืองบประมาณในการดำเนินการภายหลัง ดังนั้น หากพื้นที่ใด ยังคงมีงานฉลองเทศกาลสงกรานต์ต่อเนื่อง หรือจะจัดงานรื่นเริงอื่นใดก็สามารถดำเนินการหรือประยุกต์ใช้ได้ตามมาตรการในการจัดการขยะ ดังนี้

1. ไม่ให้นำขยะเข้าภายในงาน สามารถนำเฉพาะอุปกรณ์เล่นน้ำเท่านั้น และมีจุดบริการน้ำ หรือขายน้ำภายในงาน วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด เข้ามาภายในงานตัวเปล่า ไม่เกิดขยะ

2. จัดจุดสำหรับทานอาหารโดยเฉพาะ เพื่อควบคุมให้สามารถจัดการแยกขยะเศษอาหารต่าง ๆ ไปจัดการได้ ไม่เปื้อนในบริเวณอื่น รวมถึงงดการใช้ภาชนะแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ใช้ภาชนะที่สามารถใช้ซ้ำ เพื่อลดขยะ และไม่ให้นักท่องเที่ยวนำออกนอกบริเวณที่กำหนดไว้

3. จัดเตรียมภาชนะสำหรับทิ้งขยะ บริเวณใกล้ทางเข้าและทางออกของสถานที่จัดงานเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว

4. ทานอาหารให้เรียบร้อยก่อนจะมาเล่นน้ำในสถานที่จัดงาน จะได้ไม่มีเศษอาหารต้องทิ้งในงาน และไม่นำสิ่งที่เป็นขยะเข้าไปในงาน

5. เล่นน้ำและใช้อุปกรณ์เล่นน้ำแบบปกติที่สามารถใช้ซ้ำได้ ถ้าน้ำหมดสามารถไปเติมตามจุดบริการต่าง ๆ ได้เพียงเท่านี้ ประชาชนทุกคนจะสนุกในทุกงานและเทศกาล ไม่สร้างภาระขยะให้ต้องตามมาเก็บ


สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  19 เมษายน 2567

ที่มา https://www.prachachat.net/sd-plus/sdplus-sustainability/news-1545483

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เปิด 10 เรื่องต้องรู้ Green Chongqing การพัฒนานครฉงชิ่งสู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สมาคมด้านพลังงานของเมืองฉงชิ่ง ร่วมมือกันจัดการประชุมและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาเมือง โดยได้เชิญนักวิชาการจากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ซึ่งมี “เบญจมาส โชติทอง” และ “วิลาวรรณ น้อยภา” เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ พร้อมได้เรียบเรียงข้อมูลเกี่ยวกับGreen Chongqing 10 เรื่องต้องรู้ นครฉงชิ่งสู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ 1.ด้านภูมิทัศน์2.บทบาททางสังคม 3.การขยายชุมชนเกษตรอินทรีย์ 4.การแยกสีป้ายทะเบียนรถยนต์ 5.การพัฒนาเทคโนโลยีระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 6. สถานีสลับแบตเตอรี่สำหรับรถแท็กซี่ไฟฟ้า 7.การเกิดธุรกิจด้านพลังงานสะอาด 8.การให้บริการแบบครบวงจรของบริษัทผลิตอุปกรณ์ด้านพลังงานแสงอาทิตย์ 9. พัฒนาระบบเก็บพลังงาน (Energy storage) ในรูปแบบต่าง ๆ 10. ความร่วมมือวิจัยด้านพลังงาน เทคโนโลยี และนวัตกรรมของนักวิชาการ

การพัฒนาด้านพลังงานสะอาดของจีนรุดหน้าไปมาก ได้มีการพัฒนาโครงสร้างทางพลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิลกระจายทั่วประเทศ แต่ปัจจุบันจีนยังใช้แหล่งพลังงานส่วนใหญ่จากถ่านหินกว่า 50% และน้ำมันดิบเกือบ 20%ขณะเดียวกันจีนมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้


© 2024 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.