สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 26 กุมภาพันธ์ 2568
ที่มา : รัฐบาลไทย (https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/93807)
“เฉลิมชัย” นำทีม ทส. ผนึกกำลัง 7 กระทรวง สร้างประเทศไทยเสริมภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 13.00 น. ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ “การบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ภายใต้แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศไทยในการรับมือและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เชื่อมโยงสู่เป้าหมายการปรับตัวทั้งในระดับโลก และระดับประเทศ รวมถึงการปฏิบัติการในระดับท้องถิ่น ร่วมกับอีก 6 กระทรวง นำโดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายวราวุธ ศิลปะอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนผู้บริหารในสังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
ดร.เฉลิมชัย กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะถูกลดอันดับความเสี่ยงจากเหตุการณ์ภูมิอากาศสุดขั้วมาอยู่ในอันดับที่ 30 ของโลก แต่ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศยังคงส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ตลอดจนภาคเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก การลงนาม MOU กับอีก 6 กระทรวง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 6 สาขา จะทำให้เกิดการหารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยประสานงานกลางรายสาขาของแต่ละกระทรวง ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานร่วมกัน และเตรียมความพร้อมในการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรายสาขา (Thailand’s Action Plan on Adaptation) ซึ่งจะเป็นกรอบการดำเนินงานหลักที่ถ่ายทอดสู่การปฏิบัติทั้งในระดับหน่วยงานและระดับพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม อันเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวฯ รายสาขาในอนาคตต่อไป เพื่อให้ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน