สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ 19 เมษายน 2566
คณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ มีมติให้เพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติที่มีปัญหาพื้นที่ทับซ้อน เพื่อลดความเดือดร้อนให้ประชาชน พร้อมเห็นชอบไม่ปรับปรุงนโยบายป่าไม้แห่งชาติ
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ (คปช.) ที่มี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้หารือการเร่งขับเคลื่อน 3 เรื่องสำคัญ ทั้งการทบทวนนโยบายป่าไม้แห่งชาติ และเพิกถอนพื้นที่ทับซ้อนบางส่วนของป่ากุยบุรี ป่าแม่ตาล ป่าแม่ยุย ป่าแม่หาด เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนในพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยที่ประชุมได้พิจารณาเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติ ป่ากุยบุรีบางส่วน ในพื้นที่ตำบลบ่อนอก ตำบลอ่าวน้อย ตำบลเกาะหลัก ตำบลคลองวาฬ ตำบลห้วยทราย อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยกรมป่าไม้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบการทับซ้อนของพื้นที่ดังกล่าวแล้ว พบป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรีทับซ้อนพื้นที่นิคมสร้างตนเองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ประมาณ 56,605 ไร่ จึงพิจารณาเห็นควรให้เพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติบริเวณที่ทับซ้อนดังกล่าว รวมถึง พิจารณาการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ตาลและป่าแม่ยุย และป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่หาด บางส่วน ที่ทับซ้อนกับพื้นที่นิคมสร้างตนเอง เนื้อที่ประมาณ 31,106 ไร่ ส่วนพื้นที่ที่มีสภาพป่าเนื้อที่ประมาณ 15,096 ไร่ ให้กันไว้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ โดยให้อยู่ในความดูแลและรับผิดชอบของกรมป่าไม้ต่อไป และการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่หาดบางส่วนที่ทับซ้อนกับพื้นที่นิคมสร้างตนเอง เนื้อที่ประมาณ 31,521 ไร่ เห็นควรให้เพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติออกจากพื้นที่นิคมสร้างตนเอง ส่วนพื้นที่ที่มีสภาพป่า เนื้อที่ประมาณ 7,519 ไร่ ให้กันไว้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ โดยให้อยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ต่อไปเช่นกัน
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาการทบทวนนโยบายป่าไม้แห่งชาติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ. 2560 กำหนดให้ทบทวนนโยบายป่าไม้แห่งชาติทุก 3 ปี ซึ่งครบกำหนดที่ต้องทบทวนตามระเบียบดังกล่าว จึงมีมติเห็นชอบไม่ปรับปรุงนโยบายป่าไม้แห่งชาติ โดยให้คงวัตถุประสงค์ของนโยบายป่าไม้แห่งชาติ 4 ประการ บทบัญญัตินโยบายป่าไม้แห่งชาติ 24 ข้อ ครอบคลุม 3 ด้าน คือ ด้านการจัดการป่าไม้ // ด้านการใช้ประโยชน์ผลิตผลและการบริการจากป่าไม้และอุตสาหกรรมป่าไม้ และด้านการพัฒนาระบบบริหารและองค์กรเกี่ยวกับการป่าไม้ไว้เช่นเดิม พร้อมให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป