• +662 441 5000
  • This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
  • 14 กันยายน 2566 รองศาสตราจารย์ ดร.จำลอง อรุณเลิศอารีย์ รองคณบดี เป็นผู้แทนคณบดีคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มอบช่อดอกไม้เพื่อแสดงความยินดีแด่ผู้เกษียณอายุราชการและอายุงาน ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิจักษณ์ หิญชีระนันทน์ อาจารย์ ดร.บัณฑิต ชาญณรงค์ คุณไพศาล ไชยศรีรัมย์ และ คุณบุญธรรม นัทธีศรี ภายในงาน “พิธีมอบเข็มมหาวิทยาลัยมหิดลและเกียรติบัติแก่ข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย และลูกจ้างมหาวิทยาลัยมหิดลผู้เกษียณอายุฯ” ประจำปีงบประมาณ 2566 ณ มหิดลสิทธาคาร มหาวิทยาลัยมหิดล

  • On February 17, 2023, the Bachelor of Science students from the Environmental Science and Technology (ES) and Natural Resources and Environmental Management (International Program) (NM) programs at the Faculty of Environment and Resource Studies organized a campus tour for their peers from Nagasaki University's Faculty of Environmental Science. The tour aimed to present the university's faculties, landmarks, and recreational areas, including Prince Mahidol Hall and Mahidol Thai House, to help the exchange students get familiarized with the campus.

  • อาจารย์ ดร.บุญลือ คะเชนทร์ชาติ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บรรยายในหัวข้อ “การวางแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ทางทะเล เส้นทางสู่เศรษฐกิจสีน้ำเงิน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเสวนาในประเด็น “Blue Economy : for Thailand Sustainable Development”

    มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมการประชุมวิชาการประเพณี 4 สถาบัน กองทัพเรือ-ธรรมศาสตร์-เกษตรศาสตร์-มหิดล ครั้งที่ 24 หัวข้อ “Blue Economy : for Thailand Sustainable Development”
    วันที่ 23 พฤษภาคม 2566 รองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรเนติ สุขสมบูรณ์ รองอธิการบดีฝ่ายการศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร. ทันตแพทย์หญิงศิริวรรณ สืบนุการณ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวต้อนรับในพิธีเปิดการประชุมวิชาการประเพณี 4 สถาบัน กองทัพเรือ-ธรรมศาสตร์-เกษตรศาสตร์-มหิดล ครั้งที่ 24 หัวข้อ “Blue Economy : for Thailand Sustainable Development” โดยมี พลเรือโท วสันต์ สาทรกิจ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ เป็นประธานเปิดการประชุม ซึ่งในปีนี้กองทัพเรือได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ ณ ห้องชมวัง หอประชุมกองทัพเรือ และอาคารราชนาวิกสภา กรุงเทพมหานคร และผ่านระบบออนไลน์
    ในช่วงเช้า มีการปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Blue Economy : for Thailand Sustainable Development” โดย ศาสตราจารย์ ดร.เผดิมศักดิ์ จารยพันธุ์ ประธานอนุกรรมการที่ปรึกษาและจัดการความรู้เพื่อผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ได้กล่าวถึง แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจสีน้ำเงินเพื่อความมั่นคงของทรัพยากรทางทะเลตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs ข้อที่ 14 Life below water โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น การทำประมง การขนส่งทางทะเล การท่องเที่ยว แหล่งพลังงาน ฯลฯ ควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการผลิต การบริโภค เพื่อผลประโยชน์และความยั่งยืนในอนาคต โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่งเป็นสำคัญ
    จากนั้น มีการเสวนาในประเด็น “Blue Economy : for Thailand Sustainable Development” โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้ง 4 สถาบัน ดังนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.นิรมล สุธรรมกิจ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บรรยายในหัวข้อ “Blue Economy สังคมไทย กับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บรรยายในหัวข้อ “ความท้าทายในการพัฒนาเศรษฐกิจภาคทะเลอย่างยั่งยืนและยิ่งใหญ่” นาวาเอก ดรณ์ ทิพนันท์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ กองทัพเรือ และอาจารย์ ดร.บุญลือ คะเชนทร์ชาติ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บรรยายในหัวข้อ “การวางแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ทางทะเล เส้นทางสู่เศรษฐกิจสีน้ำเงิน” บรรยายในหัวข้อ “Blue Economy Navy : บทบาทใหม่ของกองทัพเรือในศตวรรษที่ 21” ช่วงบ่าย มีกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของนักศึกษาทั้ง 4 สถาบัน ในมุมมองของคนรุ่นใหม่ภายใต้ชื่อกิจกรรม “ประภาคารแห่งการเรียนรู้” หัวข้อหลัก มุมมอง บทบาท หน้าที่ และความท้าทายของนักศึกษาและนิสิต ต่อ Blue Economy for Thailand Sustainable Development จากนั้น เป็นพิธีปิดการประชุมโดย พลเรือโท วสันต์ สาทรกิจ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ พร้อมทั้งมอบธง 4 สถาบันให้กับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมวิชาการประเพณี 4 สถาบัน ครั้งที่ 25 ต่อไป
  • วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 10.00 น. รองศาสตราจารย์ ดร.สุระ พัฒนเกียรติ คณบดีคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ คุณสุกิจ จันทร์ทอง ผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัย เรื่อง “การพัฒนาต้นแบบโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้” ระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล โดย คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์


    กับ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) โดยมีเป้าหมายในการร่วมกันพัฒนางานวิจัย ต้นแบบการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ในพื้นที่สวนป่าเป้าหมายของ อ.อ.ป. ให้สามารถเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) เพื่อผลักดันให้สวนป่าไม้เศรษฐกิจในประเทศไทยโดยยกระดับพัฒนาคุณภาพของสวนป่าไม้เศรษฐกิจให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน ตลอดจนการพัฒนาความร่วมมือในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาบุคลากรให้มีองค์ความรู้และทักษะด้านการวิจัยเพื่อบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ด้วยวิธีการที่เหมาะสม ทันการณ์ และมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้เกิดการนำผลงานวิจัยหรือผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือนี้ไปสู่การใช้ประโยชน์ทั้งเชิงพาณิชย์ เชิงนโยบาย และเชิงสาธารณะ ทั้งนี้โดยมี อาจารย์ ดร.บุญลือ คะเชนทร์ชาติ อาจารย์ประจำ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ คุณจอง มงคลสกุลฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาและสารสนเทศและรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักธุรกิจคาร์บอนและนวัตกรรม องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ร่วมลงนามเป็นพยานในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว โดยพิธีลงนามฯ จัดขึ้น ณ ห้องประชุมนาทตัณฑวิรุฬห์ อาคารนาทตัณฑวิรุฬห์ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

  • หัวข้อ

    รายละเอียด

    ชื่อโครงการ

    MU-SDGs Case Study

    การผลิตไฮโดรเจนและมีเทนจากการหมักย่อยร่วมระหว่างน้ำกากส่าและกากยีสต์ Hydrogen and methane production from co-digested of molasses and brewer’s yeast cells

    สารผสมสำหรับการผลิตไฮเทน อนุสิทธิบัตรเลขที่ 20002

    แหล่งทุน

    งบประมาณแผ่นดิน มหาวิทยาลัยมหิดล

    ส่วนงานหลัก

    คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์

    ส่วนงานร่วม

    -

    ผู้ดำเนินการหลัก

    ผศ.ดร.สุรีย์วัลย์ สิทธิจันดา

    ผู้ดำเนินการร่วม

    คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยขอนแก่น

    คำอธิบาย

    การพัฒนาสูตรผสมระหว่างน้ำกากส่าและกากยีสต์สำหรับการผลิตไฮโดรเจนและมีเทน โดยมีการใช้เถ้าลอยจากโรงไฟฟ้าเป็นตัวควบคุมการเปลี่ยนแปลงพีเอช (pH) ของระบบการหมัก

    เนื้อหาMU-SDGs Case Study

    ปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลกประสบปัญหาหรือได้รับผลกระทบจากการทำลายสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมต่างๆ กระแสการใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศมีเพิ่มมากขึ้น  ประเทศไทยสามารถผลิตได้ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวภาพ แต่ ณ ปัจจุบันการผลิตพลังงานชีวภาพนั้นจะมุ่งเน้นไปในทิศทางการผลิตโดยใช้วัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตรและวัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมเนื่องจากเป็นแนวทางการใช้ประโยชน์ที่คุ้มค่าเพราะได้ทั้งกำจัดของเหลือทิ้งและเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่วัสดุเหลือทิ้งดังกล่าวอีกด้วย ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะนำวัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมมาใช้ประโยชน์ในการผลิตพลังงานชีวภาพ คือ ไฮโดรเจนและมีเทน ไฮโดรเจนมีค่าพลังงานสูงกว่าไฮโดรคาร์บอนถึง 2.75 เท่า (142.35 กิโลจูล/กรัม) เป็นแหล่งพลังงานสะอาดและมีแนวโน้มในการนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงแทนน้ำมันปิโตรเลียมในอนาคตอันใกล้ ขณะที่มีเทนเป็นแหล่งพลังงานที่ให้ค่าความร้อนสูงถึง 21,000 กิโลจูล/ม3 ดังนั้นจึงนำมาใช้ประโยชน์ในรูปของพลังงานได้ เช่น นำไปเผาไหม้เพื่อใช้ประโยชน์จากความร้อนโดยตรง หรือใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับขับเคลื่อนเครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไอน้ำและกระแสไฟฟ้า และปัจจุบันเทคโนโลยีการใช้มีเทนเป็นแหล่งพลังงานทดแทนมีการใช้อย่างแพร่หลายในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ การนำไฮโดรเจนและมีเทนมาผสมกันในอัตราส่วนที่เหมาะสมสำหรับนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับเครื่องยนต์สันดาปภายใน ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ให้กับเครื่องยนต์ และช่วยลดการปลดปล่อยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนให้น้อยลงกว่า 50% ก๊าซผสมระหว่างไฮโดรเจนและมีเทน เรียกว่า ไฮเทน ซึ่งเป็นก๊าซเชื้อเพลิงที่กำลังได้รับความสนใจและกำลังถูกใช้เชิงพาณิชย์ในแถบประเทศอเมริกาและอินเดีย

     

    น้ำกากส่าเป็นของเสียเหลือทิ้งจากโรงงานผลิตเอทานอล  โดยโรงงานผลิตเอทานอลในประเทศไทยส่วนมากจะใช้กากน้ำตาลหรือ molasses เป็นวัตถุดิบเริ่มต้นและเมื่อผ่านกระบวนการกลั่นจะได้ของเสียที่เรียกว่า น้ำกากส่า ซึ่งน้ำกากส่าจะมีปริมาณสารอินทรีย์ค่อนข้างสูง น้ำกากส่าสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายเช่น นำมาราดถนนลูกรังเพื่อลดฝุ่น นำมาเลี้ยงปลาและเลี้ยงจุลินทรีย์เพื่อผลิตโปรตีนเซลล์เดียว ใช้ในรูปของปุ๋ย ปุ๋ยหมัก และผลิตก๊าซมีเทน เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามจากกำลังการผลิตเอทานอลต่อวันของแต่ละโรงงานทำให้ยังคงมีปริมาณน้ำกากส่าเหลือทิ้งค่อนข้างมาก ดังนั้นการนำน้ำกากส่ามาใช้ประโยชน์เพิ่มเติม ยังคงมีความจำเป็นทั้งนี้เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นและเพิ่มมูลค่าให้กับของเสียเหลือทิ้ง ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงสนใจที่จะนำน้ำกากส่ามาใช้เป็นสับสเตรทตั้งต้นในการผลิตพลังงานทดแทนได้แก่ ไฮโดรเจนและมีเทน โดยใช้กระบวนการหมักแบบต่อเนื่องในถังปฏิกรณ์ชีวภาพแบบสองขั้นตอนเพื่อผลิตไฮโดรเจนและมีเทน

    ผลการดำเนินงาน

    ทางโครงการได้พัฒนาต่อยอดโครงการ โดยนำสูตรผสมดังกล่าวไปใช้ในการผลิตไฮโดรเจนและมีเทนในระดับขยายขนาดในถังปฏิกรณ์ชีวภาพ จนได้ระบบการผลิตระดับต้นแบบห้องปฏิบัติการ พร้อมทั้งนำน้ำเสียที่เหลือทิ้งจากต้นแบบดังกล่าวจากการผลิตไปต่อยอดผลิตเป็นปุ๋ยอัดเม็ด

    การนำไปใช้ประโยชน์

    นักวิจัยหลักและผู้ร่วมวิจัยของโครงการได้ใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษา โดยอาจารย์ ดร.ชัชวินทร์ นวลศรี ณ คณะเทคโนโลยีการเกษตรและอาหาร มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ได้ทดสอบสาธิตในการเรียนการสอน

    ผลงานตีพิมพ์

    Nualsri, C., Phasukarratchai, N., Sreela-or, C., Sittijunda, S. 2020.Optimum hydraulic retention time for dark-fermentative hydrogen production from co-digestion of vinasse and dried spent yeast. The Journal of Applied Science Vol. 19 No. 2: 101-115.

    ความแตกต่าง หรือมีเอกลักษณ์

    โครงการนี้มีการใช้เถ้าลอยซึ่งเป็นของเสียเหลือทิ้งจากโรงไฟฟ้ามาใช้เป็นตัวควบคุมการเปลี่ยนแปลงพีเอช และพบว่าสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงพีเอชได้เป็นอย่างดีในขั้นตอนการผลิตไฮโดรเจนที่มีการสร้างกรดไขมันระเหยง่ายสะสมค่อนข้างเยอะ

    ผลกระทบในระดับชุมชน ประเทศ ระดับโลก

    เป็นแนวทางส่งเสริมให้มีการหันมาผลิตและใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศ อีกทั้ง  ภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ โรงงานผลิตเอทานอล และโรงงานผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โรงไฟฟ้า สามารถกำจัดของเสียเหลือทิ้งทั้งน้ำกากส่าและกากเซลล์ยีสต์ พร้อมทั้งเถ้าลอยที่เกิดขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการกำจัด และยังสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์และเพิ่มมูลค่าให้กับของเสียดังกล่าวด้วย และเป็นแนวทางในการพัฒนากระบวนการผลิตไฮเทนจากของเสียดังกล่าวให้กับโรงงานต่างๆ

    SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม

    7

    SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

    12

    รูปภาพประกอบ

    รูปหน้าปก

     

    รูปหน้ารายละเอียด

     

    Key Message

    การใช้พลังงานทางเลือกเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อม และลดปัญหาภาวะโลกร้อน

    Links ข้อมูลเพิ่มเติม

    http://www.thai-explore.net/search?searchIndex=%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%

    E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A5%

    E0%B8%A2%E0%B9%8C%20%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%

    B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B2&option=author

    สอดคล้องกับยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัย

    ยุทธศาสตร์ 1 Global Research and Innovation

    อัลบั้มภาพ

     

    Partners/Stakeholders

     

    ตัวชี้วัดTHE Impact Ranking

    7.4.3

  • หัวข้อ

    รายละเอียด

    ชื่อโครงการ

    MU-SDGs Case Study

    การใช้พื้นที่ซ้อนทับระหว่างช้างป่า (Elephas maximus) และชุมชน และการพัฒนาระบบเตือนภัยในภาคตะวันออกของประเทศไทย

    Overlapping use areas between wild elephants (Elephas maximus) and communities, and warning system development in the eastern part of Thailand

    แหล่งทุน

    ทุน Fundamental Fund ประเภทBasic Research Fund ภายใต้แผนงานย่อย: พัฒนานักวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล

    ส่วนงานหลัก

    คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์

    ส่วนงานร่วม

    คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

    คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

    ผู้ดำเนินการหลัก

    รศ.ดร.รัตนวัฒน์ ไชยรัตน์

    ผู้ดำเนินการร่วม

    รศ.ดร.พรรณวิมล ตันหัน

    ผศ.สพ.ญ.ดร.กาญจนา อิ่มศิลป์

    ผศ.ดร.วิวัฒน์ วงศ์ก่อเกื้อ

    คำอธิบาย

    ศึกษาผลกระทบและทัศนคติ การติดตั้งกล้องดักถ่ายเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการกระจายเพื่อประเมินความเสี่ยง สร้างแผนที่แนวเชื่อมต่อที่ปลอดภัย การวิเคราะห์สารเคมีปนเปื้อนในพืชอาหาร และเครื่องมือแจ้งเตือนผ่านอินเตอร์เน็ตในพื้นที่ซ้อนทับภาคตะวันออกของประเทศไทย

    เนื้อหาMU-SDGs Case Study

    ความสำคัญ วัตถุประสงค์โครงการ

    การลดลงของช้างป่าจากการสูญเสียพื้นที่ป่า การล่า และการใช้งาน ทำให้มีการคุ้มครองจนมีประชากรช้างป่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผนวกกับการพัฒนาพื้นที่เกษตรและแหล่งน้ำทำให้มีการออกมาหากินนอกพื้นที่จนกลายเป็นความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการกระจาย ประชากร ปัจจัยดึงดูด การตกค้างของสารเคมี และพัฒนาเครื่องเตือนภัยในพื้นที่ชุมชน

    การดำเนินการ

    1. สำรวจทางตรง สัมภาษณ์และตั้งกล้องดักถ่ายภาพกิจกรรมและผลกระทบจากช้าง

    2. ทำแผนที่การกระจายและรูปแบบกิจกรรมเพื่อซ้อนทับกับกิจกรรมมนุษย์ ประเมินความเสี่ยงระหว่างช้างป่าและชุมชนเพื่อการจัดการ อนุรักษ์ ลดผลกระทบ และฟื้นฟูถิ่นที่อยู่อาศัยและหากินอย่างยั่งยืน

    5. วิเคราะห์การปนเปื้อนสารเคมีในพืชอาหารและกองมูล

    6. สร้างเครื่องเตือนภัยด้วยแสงเรเซอร์ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์

    7. จัดประชุมเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้แก่ชุมชน

    ผลการดำเนินงาน

    ประชากรส่วนใหญ่ปลูกพืชเกษตร ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และมันสำปะหลัง ตั้งแต่ 10 ถึงมากกว่า 100 ไร่ มีปัญหากรรมสิทธิ์ เงินทุน น้ำ และการบุกรุกของช้างป่า ทำให้ไม่ต้องการให้ช้างทำลายผลผลิต ทรัพย์สินและชีวิต คิดว่าช้างออกมาหาอาหาร แหล่งน้ำและบังเอิญทำร้ายคนมากกว่า 10 ครั้ง/ปี ถ้าอยู่ติดป่าได้รับผลกระทบตลอดปี ได้รับผลกระทบ 1-2 ครั้ง/ปีในพื้นที่ใหม่ แต่ไม่ได้รับการเยียวยาหรือไม่คุ้มค่า มีความตระหนักในการอนุรักษ์แต่ไม่เห็นด้วยกับการคุ้มครองช้างในชุมชน ควรสร้างเครือข่ายแจ้งเตือนภัย ฟื้นฟูแหล่งอาหาร ประกันผลผลิต จัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ติดปลอกคอและใช้รั้วรังผึ้ง เนื่องจากมีแนวโน้มกระจายเพิ่มขึ้นระหว่างปี พ.ศ.2543 – 2564 จากการตั้งกล้องจำนวน 1,530 คืน พบช้างป่า 13 พื้นที่จาก 51 พื้นที่ จำนวน 94 ตัว มีอัตราส่วนเพศผู้ต่อเพศเมีย1:1.14 เพศเมียต่อลูกอ่อน 1:0.5 อัตราการเพิ่ม 1:0.84 ร้อยละความหนาแน่น 26.05 ร้อยละการกระจาย 33.33 การกระจายสัมพันธ์กับระยะทางจากแหล่งน้ำและระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทำกิจกรรมตั้งแต่เวลา 17.00-08.00 น. และเพิ่มสูงสุดที่ 23.00 น.ช่วงฤดูแล้งพบหย่อมถิ่นที่อยู่อาศัย 3,552 หย่อม พื้นที่ 5,136.95 ตร.กม. หย่อมรองรับประชากร 253 หย่อม ผสมพันธุ์ 8 หย่อม การใช้ประโยชน์รูปแบบอื่น ๆ 253 หย่อม ช่วงฤดูฝนพบ 1,961 หย่อมพื้นที่ 3,850.86ตร.กม. รองรับประชากร 223 หย่อม ผสมพันธุ์ 33 หย่อมการใช้ประโยชน์รูปแบบอื่น ๆ 1,705 หย่อม มีหย่อมที่สำคัญ 8 หย่อม ฤดูแล้งมีแนวเชื่อมต่อที่เหมาะสม 16 แนว ฤดูฝนมี 15 แนว ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรม พืชยืนต้น ป่าดิบชื้น และป่าผลัดใบไม่พบการปนเปื้อนของสารฆ่าแมลงในกลุ่มออร์กาโนคลอรีนในพืชอาหารหลัก 10 ชนิด เครื่องมือเตือนภัยที่ทำงานได้ดีและอยู่ระหว่างพัฒนาประสิทธิภาพต่อไป

    การนำไปใช้ประโยชน์

    ภาครัฐ: กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

    ชุมชน: ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่า

    มีผลงานตีพิมพ์ระดับนานาชาติ Use of Human Dominated Landscape as Connectivity Corridors among Fragmented Habitats for Wild Asian Elephants (Elephas maximus) in the Eastern Part of Thailand.Diversity 2023;15(1):6.https://doi.org/10.3390/d15010006

    ความแตกต่าง หรือมีเอกลักษณ์

    เป็นการนำปัญหาที่พบในชุมชนมาทำการวิจัยด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์เพื่อให้ทราบแนวทางในการจัดการปัญหาที่ยั่งยืนจากผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงในพื้นที่ศึกษา พร้อมทั้งพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการลดผลกระทบให้กับชุมชนในพื้นที่ศึกษาและพื้นที่อื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบในรูปแบบที่เหมือนหรือใกล้เคียงกัน ซึ่งแตกต่างจากโครงการอื่น ๆ ที่เป็นการศึกษาปัญหาและเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหา ซึ่งบางครั้งอาจไม่สะท้อนความต้องการที่แท้จริงของชุมชนในพื้นที่ส่งผลให้การแก้ปัญหาจากโครงการวิจัยไม่ยั่งยืน

    ผลกระทบในระดับชุมชน ประเทศ ระดับโลก

    ระดับชุมชน

    จากผลการศึกษาสามารถลดความขัดแย้งระหว่างชุมชนและช้างป่าได้ รวมถึงการใช้เครื่องมือเตือนภัยที่เป็นนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงจากการสูญเสียผลผลิต ทรัพย์สิน และชีวิตของชุมชนในพื้นที่ซ้อนทับ และลดหากมีการประยุกต์ใช้ข้อมูลจากโครงการฯ ไปใช้จริงในพื้นที่

    ระดับประเทศ

    ผลการศึกษาและนวัตกรรมที่ได้จากโครงการฯ สามารถนำไปต่อยอดและใช้กับพื้นที่อื่น ๆ ที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกันในระดับประเทศ

    ระดับโลก

    ผลจากการวิจัยสามารถตีพิมพ์ผลงานในระดับนานาชาติ ซึ่งประเทศต่าง ๆ สามารถเรียนรู้ปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาจากโครงการฯ โดยเฉพาะประเทศที่มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์และช้างป่า (Human – elephant conflicts; HEC) ที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาคในโลก

    SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม

    15

    SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

     

    11

    Key Message

    การลดความขัดแย้งระหว่างชุมชนและช้างป่าด้วยแผนที่ความเสี่ยงเพื่อการตัดสินในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตของชุมชน การจัดการประชากรช้างป่า และการพัฒนานวัตกรรมการเตือนภัยเพื่อลดการสูญเสียชีวิตอย่างยั่งยืน

    Links ข้อมูลเพิ่มเติม

     

    สอดคล้องกับยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัย

    ยุทธศาสตร์ 1 Global Research and Innovation

    อัลบั้มภาพ

     

    Partners/Stakeholders

    กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

    กรมป่าไม้

    ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่าในพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย

    องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต)

    หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาช้างป่าทั้งระดับชุมชน อำเภอ จังหวัด และประเทศ

    ตัวชี้วัดTHE Impact Ranking

    15.2.1, 15.3.5

  • 14 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 11.30 น. รศ.ดร.สุระ พัฒนเกียรติ คณบดี ให้การต้อนรับ Assoc. Prof. Dr. Peter Davies, Department of Earth and Environmental Sciences, Macquarie University, เครือรัฐออสเตรเลีย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมหารือในเบื้องต้นถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างคณะกับ Department of Earth and Environmental Sciences, Macquarie University ที่เกี่ยวข้องกับการหาทุนสนับสนุนการวิจัยร่วมและการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงนักวิจัยในระดับคณะ รวมถึงการแต่งตั้งและแลกเปลี่ยนศาสตราจารย์วุฒิคุณและศาสตราจารย์อาคันตุกะ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมด้านการวิจัยและบริการวิชาการและความร่วมมืออื่นๆ ในระดับนานาชาติ ทั้งนี้ โดยมี รศ.ดร.นาฎสุดา ภูมิจำนงค์ ประธานหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) รศ.ดร.นพพล อรุณรัตน์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายนโยบาย แผน และการจัดการความรู้ ผศ. ดร. สุกัญญา เสรีนนท์ชัย อาจารย์ประจำหลักสูตรฯ คุณนิตยา โพธิ์นอก นักศึกษาในหลักสูตรฯ และ Dr. Thomas Neal Stewart ผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศ ร่วมให้การต้อนรับและเข้าร่วมหารือ ณ ห้องประชุม 4 คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 

  • 30 มกราคม 2566 เวลา 08.30 น. บุคลากรคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้การต้อนรับคณะกรรมการตรวจประเมินระบบมาตรฐานสากลการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001:2015 และ ระบบมาตรฐานสากลอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ISO 45001:2018 จากหน่วยงานภายนอก ณ ห้องประชุมเทพนมเมืองแมน คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

  • หัวข้อ

    รายละเอียด

    ชื่อโครงการ

    MU-SDGs Case Study

    เครื่องกำจัดขยะอินทรีย์ภายในครัวเรือน

    Internal Household Organic Waste Digester

    แหล่งทุน

    -

    ส่วนงานหลัก

    คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์

    ส่วนงานร่วม

    บริษัท เอ็นไวสมาร์ทเทค จำกัด

    ผู้ดำเนินการหลัก

    ดร.นรินทร์ บุญตานนท์

    ผู้ดำเนินการร่วม

    -

    คำอธิบาย

    หลักการทำงานโดยการเติมอากาศในระหว่างการย่อยสลาย เพื่อเร่งการย่อยสลายของจุลินทรีย์ โดยสามารถย่อยสลายขยะอินทรีย์ได้ภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการขยะอินทรีย์ตั้งแต่ต้นทาง

    เนื้อหาMU-SDGs Case Study

    ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาใหญ่ที่มีผลกระทบในวงกว้างโดยเฉพาะปัญหาด้านการจัดการขยะอินทรีย์ทั้งแบบเหลือทำและเหลือทานที่มีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 60 ของปริมาณขยะมูลฝอยจากครัวเรือน ชุมชน และสถานประกอบการ ในจำนวนนี้มีขยะอินทรีย์จำนวนมากถูกทิ้งปะปนกับขยะประเภทอื่นๆ ทำให้การจัดการขยะในภาพรวมไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดผลกระทบทั้งต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นทางคณะผู้วิจัยจึงได้พัฒนาเครื่องกำจัดขยะอินทรีย์ภายในครัวเรือน (อนุสิทธิบัตร เลขที่ 7860) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการขยะ ณ ต้นทาง เพื่อลดปริมาณของเสียประเภทอาหาร และของเสียที่ต้องนำไปยังหลุมฝังกลบ อีกทั้งยังเป็นการลดภาระและงบประมาณในการจัดการของส่วนกลาง เพื่อมุ่งสู่วัฒนาธรรมการบริโภคอย่างยั่งยืน อีกทั้งการจัดการขยะอินทรีย์ที่ต้นกำเนิดโดยเฉพาะอาหารที่เหลือทิ้งและเศษอาหารจากการเตรียมจากบ้านเรือนจะทำให้สัดส่วนของขยะอินทรีย์ปนเปื้อนเข้าไปสู่ระบบการรวบรวมและจัดการขยะของส่วนกลางหรือเทศบาลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

    การดำเนินการ

    เครื่องกำจัดขยะอินทรีย์ภายในครัวเรือนมีหลักการทำงาน โดยมีการเติมอากาศในระหว่างการย่อยสลาย เพื่อเร่งกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ใช้อากาศให้มากเกินพอ และเป็นการลดความร้อนในระบบ ทำให้เกิดการถ่ายเทอากาศในระบบ และยังมีระบบการกวนผสมระหว่างขยะอินทรีย์ และ bulking agent ตลอดระยะเวลาการย่อยสลายเพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัสระหว่างจุลินทรีย์กับbulking agents ส่งผลให้การกำจัดขยะอินทรีย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถย่อยสลายขยะอินทรีย์ได้ภายในระยะเวลา48 ชั่วโมง โดยเครื่องนี้จะเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยให้ประชาชน และชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการขยะอินทรีย์ ณ ต้นทาง และส่งผลดีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมในภาพรวมต่อไป

    โดยเครื่องกำจัดขยะอินทรีย์ภายในครัวเรือน สามารถทำงานได้โดย นำขยะอินทรีย์ที่ผ่านการกรองเอาน้ำออกบางส่วนแล้วเข้าเครื่องโดยผ่านทางฝาเปิดเพื่อนำขยะเข้าซึ่งจะอยู่บริเวณด้านบนของเครื่อง บริเวณกึ่งกลางภายในตัวเครื่องกำจัดขยะอินทรีย์ภายในครัวเรือนจะมีแกนหมุนที่ซึ่งมีแกนสำหรับกวนผสมยึดติดอยู่ โดยแกนหมุนจะทำงานได้โดยได้กำลังมาจากมอเตอร์ ทำหน้าที่กวนเพื่อให้ขยะผสมกับวัสดุที่ใช้เพื่อให้จุลินทรีย์ยึดเกาะ ที่ซึ่งสามารถเลือกได้จาก ส่วนผสมของขี้เลื่อย และมีการเติมอากาศโดยใช้ปั๊มลมขนาดเล็กต่อท่อผ่านไปยังแกนหมุนที่มีลักษณะเป็นท่อกลวง โดยอากาศจะถูกเติมเข้าไปในระบบผ่านทางปลายท่อเพื่อช่วยทำให้เกิดการเติมอากาศขณะการย่อยสลาย ทำให้กระบวนการย่อยสลายเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถนำขยะที่ผ่านการย่อยสลายแล้วออกทางฝาเปิดด้านบน โดยตัวเครื่องกำจัดขยะอินทรีย์ภายในครัวเรือนสามารถติดตั้งในตำแหน่งพื้นที่ร่มและอากาศถ่ายเทสะดวก

    ผลการดำเนินงาน

    ปัจจุบันนวัตกรรมนี้ได้มีการผลิตและจำหน่ายโดยบริษัท เอ็นไวสมาร์ทเทค จำกัด ซึ่งเริ่มผลิตและจำหน่ายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ปัจจุบันจำหน่ายไปแล้วกว่า200 เครื่อง โดยมีการจำหน่ายให้กับกลุ่มครัวเรือน ผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหาร ที่พักอาศัย หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน วัด รวมถึงสถานศึกษาที่สนใจ และเล็งเห็นถึงความสำคัญของการแยกขยะอินทรีย์ออกจากขยะประเภทอื่นๆ ที่สามารถรีไซเคิลได้ โดยการเปลี่ยนขยะอินทรีย์ให้กลายเป็นวัสดุปลูกที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ซึ่งเป็นการลดปริมาณขยะที่จะถูกลำเลียงไปยังหลุมฝังกลบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

    การนำไปใช้ประโยชน์

    ปัจจุบันทาง บริษัท เอ็นไวสมาร์ทเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับสิทธิ์ในการผลิตและจำหน่ายเครื่องย่อยขยะอินทรีย์ในเชิงพาณิชย์ ได้ทำการผลิตเครื่องย่อยขยะอินทรีย์ออกมาหลายขนาดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและข้อจำกัดด้านพื้นที่ของผู้บริโภค ซึ่งประกอบด้วย เครื่องย่อยขยะอินทรีย์ขนาด 20, 35, 60 และ120 ลิตร

    จากข้อมูลการผลิตและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ สามารถสรุปกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจในการนำเครื่องย่อยขยะอินทรีย์ไปใช้เพื่อจัดการขยะอินทรีย์ ดังนี้

    - ครัวเรือน: สำหรับภาคครัวเรือนได้ให้ความสนใจในการนำเครื่องกำจัดขยะอินทรีย์ไปใช้ในการจัดการขยะเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้บริโภคไม่เพียงแต่จะสามารถจัดการกับขยะอินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังได้ผลพลอยได้เป็นวัสดุปลูกที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ด้วยเช่นกัน

    - หน่วยงานภาครัฐ: องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร, องค์การบริหารส่วนตำบลบางปลา, ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี, วัดถ้ำกระบอก, ศูนย์พุทธศาสตร์ศึกษา โดยทางหน่วยงานภาครัฐได้มีการนำไปใช้ภายในหน่วยงาน และมีการจัดฝึกอบรมการประกอบเครื่องเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วม และได้นำไปใช้งานเพื่อให้เกิดการจัดการขยะอินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน

    - สถานศึกษา: สถานศึกษาได้ให้ความสนใจในการนำเครื่องย่อยขยะอินทรีย์ไปใช้ในการจัดการกับขยะเศษอาหารที่เหลือทิ้งจากการรับประทานอาหารของโรงอาหารส่วนกลาง ไม่เพียงแต่จะสามารถจัดการกับขยะอินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ให้กับทั้งครูและนักเรียน ที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ การเปลี่ยนรูปขยะให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้

    - สถานประกอบการประเภทร้านอาหาร: สถานประกอบการประเภทร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆของประเทศไทย ได้ให้ความสนใจในการนำเครื่องย่อยขยะอินทรีย์ไปใช้ในการจัดการขยะอินทรีย์ที่ขยะอินทรีย์หลักๆมาจากกระบวนการเตรียมอาหาร เพื่อสามารถเปลี่ยนรูปขยะอินทรีย์ให้กลายเป็นวัสดุปลูก หรือธาตุอาหารให้กับพืชได้ด้วยเช่นกัน

    ความแตกต่าง หรือมีเอกลักษณ์

    โครงการเครื่องย่อยขยะอินทรีย์ภายในครัวเรือน เป็นการออกแบบกระบวนการย่อยสลายโดยเลียนแบบการย่อยสลายในธรรมชาติ และอาศัยกระบวนการย่อยสลายจากจุลินทรีย์ในธรรมชาติที่ใช้อากาศ ดังนั้นโครงการนี้จึงเป็นการเร่งปฏิกิริยาการย่อยตามธรรมชาติ โดยการเติมอากาศเพื่อให้สามารถย่อยสลายได้ในระยเวลาภายใน 48 ชั่วโมง

    ผลกระทบในระดับชุมชน ประเทศ ระดับโลก

    เครื่องกำจัดขยะอินทรีย์เป็นการส่งเสริมให้เกิดการคัดแยกขยะอินทรีย์ออกจากขยะประเภทอื่นๆ ได้ตั้งแต่ต้นทาง และสามารถกำจัดอย่างถูกวิธี อีกทั้งยังได้ผลพลอยได้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ซึ่งการแยกขยะและกำจัดอย่างถูกวิธีเป็นการลดปริมาณขยะที่จะถูกขนส่งไปยังแหล่งฝังกลบ สามารถลดการปนเปื้อนของน้ำชะขยะลงสู่แหล่งน้ำใต้ดิน และแหล่งธรรมชาติ ลดการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิต หากทุกครัวเรือนให้ความร่วมมือในการคัดแยกขยะ และกำจัดอย่างถูกวิธี ก็จะสามารถลดปริมาณขยะ ลดการเผาไหม้ และลดการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม ทำให้สิ่งแวดล้อมค่อยๆเกิดการฟื้นฟู ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งชุมชน และโลกในระยะยาว

    SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม

    SDG 12

    12.3 ลดขยะเศษอาหารของโลกลงครึ่งหนึ่งในระดับค้าปลีกและผู้บริโภค และลดการสูญเสียอาหารจากระบวนการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว ภายในปี2573

    12.5 ลดการเกิดของเสียโดยให้มีการป้องกัน การลดปริมาณ การใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ ภายในปี2573

    SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

     

    6.3 ปรับปรุงคุณภาพน้ำ โดยการลดมลพิษ ขจัดการทิ้งขยะและลดการปล่อยสารเคมีอันตรายและวัตถุอันตราย ลดสัดส่วนน้ำเสียที่ไม่ผ่านกระบวนการลงครึ่งหนึ่ง และเพิ่มการนำกลับมาใช้ใหม่และการใช้ซ้ำที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืนทั่วโลก ภายในปี2573

    12.2 บรรลุการจัดการที่ยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ภายในปี2573

    รูปภาพประกอบ

    รูปหน้าปก

     

    รูปหน้ารายละเอียด

     

    Key Message

     

    “การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ด้วยการคัดแยกขยะอินทรีย์ออกจากขยะประเภทอื่นๆตั้งแต่ต้นทาง และการกำจัดอย่างถูกวิธี เพื่อเป็นการลดปริมาณขยะที่จะถูกฝังกลบ อีกทั้งยังเป็นการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน”

    Links ข้อมูลเพิ่มเติม

     

    https://www.youtube.com/watch?v=tAjl9vn8Amk&t=5s

     

    สอดคล้องกับยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัย

    ยุทธศาสตร์ 1 Global Research and Innovation

    อัลบั้มภาพ

     

    Partners/Stakeholders

    -

    ตัวชี้วัดTHE Impact Ranking

    -

  • ภาพบรรยากาศกิจกรรมภายใต้ “โครงการอบรมพัฒนานักศึกษา ด้วยการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง” (Transformative Learning)” สัปดาห์ที่ 3 และ 4

    โดยมี อาจารย์ สัญชัย สูติพันธ์วิหาร เป็นวิทยากรบรรยายและนำกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพนักศึกษาได้เรียนรู้ทำความรู้จักตนเอง มีการคิดแบบมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) เรียนรู้ทำความรู้จักผู้อื่น มีทักษะการสื่อสาร (Communication) ให้นักศึกษาสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือทำงานเป็นทีม (Collaboration) ให้นักศึกษาตระหนักเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ และมีแรงบันดาลในใจการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง มีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 โดยมี นักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เข้าร่วมกิจกรรม ณ ห้องประชุมรองศาสตราจารย์ (พิเศษ) เล็ก มอญเจริญ อาคารสิ่งแวดล้อมพัฒนดล คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

  • เมื่อวันที่ 18 - 20 มกราคม 2566 คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดโครงการค่ายเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม (โรงเรียนสอาดเผดิมวิทยา)
    โดยได้ให้ความรู้และจัดกิจกรรมห้องเรียนธรรมชาติ ให้กับ นักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4 - 6 ณ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี และ เขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี

  • หัวข้อ

    รายละเอียด

    ชื่อโครงการ

    MU-SDGs Case Study

    การพัฒนาการตรวจวัดปริมาณฝุ่นละอองโดยใช้อุปกรณ์บันทึกข้อมูลขนาดเล็ก

    Development on particulate matter based on small data logger

    อยู่ระหว่างยื่นขอจดอนุสิทธิบัตร “อุปกรณ์วัดความหนาแน่นฝุ่นละอองขนาดเล็กPM2.5”

    แหล่งทุน

    คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์

    ส่วนงานหลัก

    คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์

    ส่วนงานร่วม

    -

    ผู้ดำเนินการหลัก

    นายวรงค์  บุญเชิดชู

    ผู้ดำเนินการร่วม

    -

    คำอธิบาย

    ความต้องการอุปกรณ์วัดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 มาสนับสนุนการติดตามระดับความหนาแน่นฝุ่นละอองฯ ในพื้นที่ที่ห่างไกลจุดตรวจวัดที่รับรองโดยกรมควบคุมมลพิษที่มีระยะมากกว่า3 กิโลเมตรขึ้นไป ส่งผลให้การวัดความหนาแน่นฝุ่นPM2.5 มีความถูกต้องลดลงตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น หรือการตรวจวัดที่มีสภาพแวดล้อมที่มีความซับซ้อนของสิ่งปลูกสร้าง หรือสภาพภูมิประเทศ หรือมีจำนวนจุดวัดน้อยและไม่ครอบคลุมพื้นที่ จึงทำให้ต้องพัฒนาอุปกรณ์วัดความหนาแน่นฝุ่นที่ให้ผลได้ใกล้เคียงกับสถานีตรวจวัดที่ผ่านการรับรองจากกรมควบคุมมลพิษ และสามารถสร้างได้เป็นจำนวนมากในราคาที่มีต้นทุนต่ำ สร้างง่าย และให้ผลการวัดที่ใกล้เคียงกับแนวโน้มการเปลี่ยนความหนาแน่นของสถานีวัดฯ

    เนื้อหาMU-SDGs Case Study

     

    วัตถุประสงค์
        การพัฒนาสร้างอุปกรณ์วัดความหนาแน่นฝุ่นละอองขนาดเล็กPM2.5 มีโครงสร้างอุปกรณ์ไม่ซับซ้อน ซ่อมแซมง่าย สามารถใช้ทำงานได้ในระยะเวลานานในสภาพอากาศที่มีความชื้นสูงและทำงานภายใต้อุณหภูมิที่มีความแตกต่างระหว่างวันสูงและทำงานตลอด24 ชั่วโมง มีต้นทุนในการสร้างต่ำและติดตั้งได้รวดเร็ว เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ผ่านการวิเคราะห์แบบInterpolated เพื่อหาค่าเฉลี่ยระหว่างจุดวัดที่ใช้อุปกรณ์นี้ เช่นกรณีที่รถตรวจคุณภาพอากาศมี1 หน่วย จึงไม่อาจสะท้อนข้อมูลความเป็นจริงของพื้นที่ตรวจวัดได้ถูกต้อง จึงต้องใช้อุปกรณ์วัดฝุ่นละอองขนาดเล็กPM2.5 ในการเสริมจุดการวัดความหนาแน่นฝุ่นPM2.5 ให้ครอบคลุมพื้นที่ด้วยอุปกรณ์วัด ฯ ที่พัฒนาในจำนวนมากขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความถูกต้องเชิงพื้นที่สูงขึ้น และสะท้อนสภาพความเป็นจริงได้ใกล้เคียงของพื้นที่ให้ได้มากที่สุด

    การดำเนินการ

        สถานีวัดความหนาแน่นฝุ่นละอองขนาดเล็กPM2.5 ที่สร้างขึ้นนี้มีประสิทธิภาพการทำงานที่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้โดยการปรับค่าความคลาดเคลื่อนของการวัดด้วยโมเดลทางคณิตศาสตร์และการปรับปรุงในส่วนของฮาร์ดแวร์ที่นำมาใช้ โดยให้ค่าความคลาดเคลื่อนในการวัดฝุ่นละอองPM2.5 มีค่าเฉลี่ยรายชั่วโมงอยู่ที่± 8.3 µg/cu.m สำหรับระดับฝุ่นไม่เกิน150 µg/cu.m, R2 = 0.93 เมื่อเปรียบเทียบกับผลจากรถตรวจวัดคุณภาพอากาศ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ ประจำอยู่ที่มหาลัยมหิดล ศาลายา ระหว่าง ก..  – มี.. 62 มีจำนวนข้อมูลเฉลี่ยรายชั่วโมง582 ชุด

        เซอร์เซ็นวัดความหนาแน่นฝุ่นถูกเลือกมาจากการทดสอบความแม่นยำในการทำงานโดยใช้CV วิเคราะห์ ผลที่ได้คือPlantTower PMS5003 มีความแตกต่างของCV ระหว่างตัวทดสอบจำนวน2 ตัว มีค่าน้อยว่า0.5% แสดงให้เห็นว่ามีความแม่นยำในการผลิตในระดับสูง และสามารถนำเอามาใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องปรับแก้ใด ๆ  ในการทดแทนเมื่อเซอร์เซ็นชำรุด นอกจากนี้ยังพบว่าอิทธิพลของความชื้นสัมพัทธ์ในระดับที่เกิดสภาวะเป็นไอน้ำในอากาศก็มีผลต่อเซ็นเซอร์ด้วย จากการวิเคราะห์ค่าMAE ระหว่างเซ็นเซอร์และเครื่องมือFEM แสดงให้เห็นว่าก่อนและหลังใช้โมเดลHydroscopic growth rated with one parameter เพื่อวิเคราะห์เชิงย้อนกลับของอิทธิพลของน้ำในอากาศในรูปแบบของอัตราส่วนสามารถทำให้ค่าMAE ลดลงได้ถึง34% ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความคลาดเคลื่อนน้อยลงของการตรวจวัดภายใต้ความชื้นในอากาศที่อยู่ในระดับสูงได้

       ต่อมาจึงนำมาวิเคราะห์การถดถอยแบบไม่เชิงเส้นชนิดดีกรีลำดับที่สี่หรือQuartic function  เนื่องจากความสามารถรองรับจำนวนจุดตัดของกราฟบนแกนx ที่เป็นตัวแทนของข้อมูลจากเครื่องมือFEM ใน1 ช่วงเวลาหนึ่งถึง4 จุด และรองรับจุดวิกฤติได้ถึง3 จุด ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะการทำงานของเซ็นเซอร์PMS5003 เมื่อนำเอาข้อมูลความหนาแน่นฝุ่นPM2.5 เฉลี่ยรายชั่วโมงเปรียบเทียบกับเครื่องมือFEM พบว่า ประสิทธิภาพของวิเคราะห์การถดถอยแบบไม่เชิงเส้นชนิดดีกรีลำดับที่สี่ให้ผลลัพธ์RMSE = 8.3 โดยR2 = 0.93 เปรียบเทียบกับการใช้การวิเคราะห์ถดถอยแบบเชิงเส้นให้ค่าRMSE = 12.8 โดยR2 = 0.92

        เพื่อให้มีการนำเอาข้อมูลไปใช้ควบคู่กับข้อมูลของรถตรวจอากาศได้เร็วขึ้นจึงได้นำเอาโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภท2G ใช้เป็นช่องทางในการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลคุณภาพอากาศของคณะสิ่งแวดล้อม ฯ และสามารถส่งออกข้อมูลออกข้อมูลผ่านเว็บไซด์

    https://en.mahidol.ac.th/enair/service

    การนำไปใช้งาน

        คณะได้ดำเนินการทดสอบการติดตั้งและการปรับแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากการคาดการณ์ในห้องทดลองและพื้นที่ศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยเขตศาลายา จังหวัดนครปฐม ในพื้นที่จังหวัดลำปาง จำนวน13 จุด และที่กาญจนบุรี จำนวน2 จุด จากการติดตั้งพบว่าข้อมูลที่ได้จากอุปกรณ์มีความสมบรูณ์ประมาณ75-80% จากความถี่การส่งข้อมูลทุกๆ20 นาที มีอุปกรณ์บางตัวหยุดทำงานเป็นช่วงๆ หรือบางตัวเซ็นเซอร์วัดความหนาแน่นฝุ่นทำงานผิดพลาด เป็นต้น

    จังหวัดลำปาง

        โดยสถานที่ติดตั้งทางคณะได้เลือกเป็นสถานที่ราชการ โรงเรียน โรงพยาบาล เป็นหลักเนื่องจากเป็นที่ชุมชน และมีความเสี่ยงในการสัมผัสฝุ่นสูงกว่าสถานที่อื่นๆ

    จังหวัดกาญจนบุรี

    โครงการนี้แตกต่าง และมีเอกลักษณ์จากคนอื่นอย่างไร

        เป็นการสร้างโมเดลคณิตศาสตร์เพื่อช่วยลดความคลาดเคลื่อนการวัดของอุปกรณ์วัดความหนาแน่นฝุ่นระดับPM2.5 ที่พัฒนาขึ้นมีความแตกต่างจากการอุปกรณ์ที่มีขายอยู่ในท้องตลาด ซึ่งส่วนใหญ่ใช้วิธีปรับแก้ค่าที่ได้จากการวิเคราะห์ที่แบ่งตามระดับความชื้นสัมพัทธ์ในช่วงที่กำหนด และประมาณค่าจากการใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นด้วยการเพิ่มปัจจัยระดับความชื้นสัมพัทธ์เข้าไปในการวิเคราะห์ ซึ่งแตกต่างจากวิธีที่พัฒนาขึ้น โดยใช้โมเดลคณิตศาสตร์คำนวณความหนาแน่นฝุ่นจากอัตราขยายตัวของมวลฝุ่นละอองที่ทำให้ความหนาแน่นฝุ่นเพิ่มมากกว่าที่ควรจากการดูดซึมความชื้นในอากาศเข้าไป และเมื่อใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ถดถอยแบบไม่เชิงเส้นแบบดีกรีสี่ ทำให้ค่าคาดการณ์ที่วัดได้มีความใกล้เคียงกว่าการใช้วิเคราะห์ถดถอยแบบเชิงเส้น โดยมีผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับเครื่องวัดฯBAM1020 ซึ่งผลทดสอบให้ค่าR2 > 92% และค่าRMSE ~8.3 µg/cu.m ในระดับความชื้นฯ40-95%

    ส่งผลกระทบในระดับชุมชน ประเทศ ระดับโลก อย่างไร

    มีความตื่นตัวในเรื่องของฝุ่นละอองขนาด PM2.5 ที่มากับปัญหาสุขภาพในระยะยาว

    SDGs หลักที่สอดคล้องกับกิจกรรม

    11

    SDGs อื่น ๆ ที่สอดคล้อง

    3, 13

    รูปภาพประกอบ

    รูปหน้าปก

     

    รูปหน้ารายละเอียด

     

    Key Message

     

    การพัฒนาอุปกรณ์วัดความหนาแน่นฝุ่น PM2.5 ต้นทุนต่ำ มีความถูกต้องสูง และสามารถผลิตเป็นจำนวนมากได้ จะช่วยให้มีเกิดความสนใจภัยที่มากับฝุ่นPM2.5 ซึ่งใช้ระยะเวลานานในการแสดงอาการ ในการหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีความเสี่ยงจากPM2.5

    Links ข้อมูลเพิ่มเติม

    -

    สอดคล้องกับยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัย

    ยุทธศาสตร์ 1 Global Research and Innovation

    ยุทธศาสตร์ 3 Policy Advocacy and Leaders in Professional / Academic Services

    อัลบั้มภาพ

     

    Partners/Stakeholders

    -

    ตัวชี้วัดTHE Impact Ranking

    13.3.4

  • 17 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.00 น. รศ.ดร.สุระ พัฒนเกียรติ คณบดีคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ เป็นประธานกล่าวต้อนรับและเปิดโครงการ “MU-NU Spring Training Program 2023” ณ ห้องประชุมนาทตัณฑวิรุฬห์ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 กุมภาพันธ์ - 22 มีนาคม 2566 โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีจาก Faculty of Environmental Science, Nagasaki University ประเทศญี่ปุ่น และนักศึกษาในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมและหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (หลักสูตรนานาชาติ) ของคณะ ภายใต้การกำกับดูแลโดย ผศ.ดร.อรันย์ ศรีรัตนา ทาบูกานอน ประธานโครงการ และอาจารย์ประจำคณะ ร่วมด้วย Prof. Dr. Hideki NAKAYAMA จาก Nagasaki University ประเทศญี่ปุ่น
    โครงการ MU-NU Spring Training Program เป็นหนึ่งในความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ โดยมหาวิทยาลัยมหิดล และ Faculty of Environmental Science, Nagasaki University ประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นกิจกรรมการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างกันในแต่ละปี จัดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 จนถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ พร้อมทั้งเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ภายนอกห้องเรียน โดยใช้หลักการ Learning by Doing ทำให้เกิดการเรียนรู้ทั้งทางด้านวิชาการ การทำงานเป็นหมู่คณะ และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม

  • 16 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 11.00 น. รศ.ดร.นภเรณู สัจจรักษ์ ธีระฐิติ รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยมหิดล ให้การต้อนรับ Assoc. Prof. Dr. Peter Davies, Department of Earth and Environmental Sciences, Macquarie University, เครือรัฐออสเตรเลีย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมหารือแนวทางในการขยายขอบข่ายความร่วมมือไปสู่การพัฒนาข้อเสนอโครงการวิจัยร่วมกันเพื่อเสาะหาแหล่งทุนสนับสนุนผ่านการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงนักวิจัยในหลากหลายสาขา ตลอดจนการสร้างนักวิจัยรุ่นที่จะมีโอกาสได้ทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่องตามศักยภาพเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์เชิงสาธารณะ ทั้งนี้โดยมี รศ.ดร.นพพล อรุณรัตน์ ผศ.ดร.สุกัญญา เสรีนนท์ชัย Dr. Thomas Neal Stewart คณาจารย์ประจำหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วยคุณนิตยา โพธิ์นอก นักศึกษาในหลักสูตรฯ เข้าร่วมการหารือ ณ ห้องประชุม 530A สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

  • 17 กุมภาพันธ์ 2566 หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) จัดการบรรยายพิเศษ หัวข้อ "Urban water Management: land and water Nexus" ณ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  บรรยายโดย Prof. Dr. Peter Davies จาก Department of Earth and Environmental Sciences, Macquarie University ประเทศออสเตรเลีย โดยจัดขึ้นในรูปแบบปกติ ณ ห้องประชุมนาท ตัณฑวิรุฬห์ และผ่านระบบ Zoom เวลา 13.00 - 15.00 น.

  • 17 มกราคม 2566 รองศาสตราจารย์ ดร.จำลอง อรุณเลิศอารีย์ รองคณบดีคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้แทนคณบดีกล่าวต้อนรับ ศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ ปัญหา บรรณาธิการวารสาร Tropical Natural History วารสารทางการของพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รองศาสตราจารย์ ดร.ดุษณี ธนะบริพัฒน์ บรรณาธิการวารสาร Current Applied Science and Technology จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในโอกาสเป็นวิทยากรผู้ร่วมเสวนาด้านการวิจัย เรื่อง “Tips and Tricks with Two Editors: What an editor wants” ทั้งนี้โดยมี อาจารย์ ดร.วิชญา รงค์สยามานนท์ รองบรรณาธิการวารสาร Environment and Natural Resources Journal คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้ดำเนินรายการ
    การเสวนาดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้ความรู้ แนะนำเทคนิค วิธีการ รวมถึงสาระสำคัญสำหรับการเตรียมบทความทางวิชาการให้ได้รับการตีพิมพ์ โดยถ่ายทอดจากประสบการณ์ของบรรณาธิการวารสารวิชาการระดับนานาชาติที่อยู่ในฐาน Scopus โดยมีผู้สนใจจากทั้งภายในและภายนอกส่วนงานเข้าร่วมรับฟังการเสวนา ซึ่งจัดขึ้น ณ ห้องศาสตรเมธี ดร.พงศ์พิศน์ ปิยะพงศ์ อาคารสิ่งแวดล้อมพัฒนดล คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และในรูปแบบออนไลน์ผ่านทาง Cisco Webex และ Facebook Live จำนวน 40 คน

  • 11 มกราคม 2566 เวลา 13.00 - 16.30 น. นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เข้าร่วมกิจกรรมภายใต้ “โครงการอบรมพัฒนานักศึกษา ด้วยการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง” (Transformative Learning)” โดยได้รับเกียรติจาก อาจารย์ สัญชัย สูติพันธ์วิหาร เป็นวิทยากรบรรยายและนำกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพนักศึกษามหาวิทยาลัยได้เรียนรู้ทำความรู้จักตนเอง มีการคิดแบบมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) เรียนรู้ทำความรู้จักผู้อื่น มีทักษะการสื่อสาร (Communication) ให้นักศึกษาสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือทำงานเป็นทีม (Collaboration) ให้นักศึกษาตระหนักเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ และมีแรงบันดาลในใจการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง มีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อทักษะที่จำเป็นในอนาคต 21st century โดยกิจกรรมจัดขึ้น ณ ห้องประชุมรองศาสตราจารย์ (พิเศษ) เล็ก มอญเจริญ อาคารสิ่งแวดล้อมพัฒนดล คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

  • ๒ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา ๐๘.๐๐ น. อาจารย์ ดร.วีรฉัตร์ ฉัตรปัญญาเจริญ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและกายภาพ เป็นผู้แทนคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เข้าร่วมพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะพระรูปสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ณ หอประชุมมหิดลสิทธาคาร เนื่องในโอกาสครบรอบ ๕๔ ปี วันพระราชทานนาม และ ๑๓๕ ปี มหาวิทยาลัยมหิดล
  • 18 มกราคม 2566 ภาพบรรยากาศกิจกรรมภายใต้ “โครงการอบรมพัฒนานักศึกษา ด้วยการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง” (Transformative Learning)” สัปดาห์ที่ 2 โดยมี อาจารย์ สัญชัย สูติพันธ์วิหาร เป็นวิทยากรบรรยายและนำกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพนักศึกษาได้เรียนรู้ทำความรู้จักตนเอง มีการคิดแบบมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) เรียนรู้ทำความรู้จักผู้อื่น มีทักษะการสื่อสาร (Communication) ให้นักศึกษาสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือทำงานเป็นทีม (Collaboration) ให้นักศึกษาตระหนักเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ และมีแรงบันดาลในใจการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง มีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อทักษะที่จำเป็นในอนาคต 21st century โดยมี นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เข้าร่วมกิจกรรม ณ ห้องประชุมรองศาสตราจารย์ (พิเศษ) เล็ก มอญเจริญ อาคารสิ่งแวดล้อมพัฒนดล คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

  • วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม 2566 เวลา 10.30-11.30 น. รศ. ดร.จำลอง อรุณเลิศอารีย์ รองคณบดี คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ พร้อมด้วย ผศ. ดร.จงดี โตอิ้ม ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหิดล และบุคลากรคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เข้าร่วมพิธีแสดงมุทิตาจิตผู้อาวุโส แด่ รศ. ดร.ชาลี นาวานุเคราะห์  เนื่องในโอกาสครบรอบ 54 ปีวันพระราชทานนาม และ 135 ปี มหาวิทยาลัยมหิดล ณ บริเวณโถงมหิดลสิทธาคาร มหาวิทยาลัยมหิดล

© 2023 Faculty of Environment and Resource Studies, Mahidol University . All Rights Reserved.